เมื่อสินค้ามียี่ห้อ หรือแบรนด์เนมนั้นมีราคาแพง ของที่คุณซื้อ Real or Fake ? ทางเลือกใหม่ที่จะได้สินค้าดี แต่ราคาย่อมเยาว์จึงเกิดขึ้น เริ่มต้นด้วยการซื้อสินค้า Sales ยิ่งลดถูกเท่าไหร่ ก็ยิ่งล่อใจเท่านั้น การซื้อสินค้ามือสอง หรือการซื้อของออนไลน์
ซึ่งหากไม่ดูให้ดี ก็อาจเจอสินค้าเลียนแบบเข้าก็เป็นได้

ย่างเข้าเทศกาลปีใหม่ทีไร ผู้คนทั้งหลายก็ต่างสาละวนกับการซื้อหาสินค้า เอาไปเป็นของขวัญหรือของฝาก โดยเฉพาะใครที่อยู่ต่างประเทศ เมื่อได้กลับบ้านแต่ละทีก็มักจะนำเอาสินค้าและผลิตภัณฑ์ในประเทศนั้นๆ ไปเป็นของฝากด้วยเสมอๆ
งานนี้จึงต้องอาศัยดวงแบบตาดีได้ ตาร้ายเสีย แล้วใครกันอยากจะเสียเงินเพื่อซื้อของเลียนแบบโดยที่ไม่รู้ตัว จึงอยากนำเสนอวิธีการสังเกตและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ให้มั่นใจในการซื้อสินค้าแบบไม่ต้องพึ่งดวงอีกต่อไป

นาฬิกาแบรนด์เนม
เวลานั้น ถือเป็นสิ่งที่มีค่า ผ่านไปทุกช่วงขณะและไม่อาจย้อนกลับมาได้ สิ่งที่เป็นตัวแทนของเวลาอย่าง นาฬิกา จึงเป็นของขวัญอันดับต้นๆ ที่ผู้คนนิยมซื้อหาให้กัน แต่ละแบรนด์แต่ละยี่ห้อก็ต่างประดับประดาด้วยสิ่งมีค่าจนทำให้ ตัวแทนของเวลานั้นสูงค่าและมีราคาตามไปด้วย เมื่อนาฬิกาแบรนด์เนมของจริงราคาสูง จึงมีการผลิตของปลอมขึ้นมา โดยในช่วงแรกๆ นั้น ของจริงกับของเลียนแบบนั้นค่อนข้างแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด แต่วิวัฒนาการในปัจจุบัน ทำให้การผลิตของเลียนแบบนั้นดูใกล้เคียงของจริงกันจนแยกไม่ออก ซึ่งเราได้รับเกียรติจากคุณนุช อรนุช เกียรติทนงศักดิ์มาให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเลือกซื้อนาฬิกาแบรนด์เนมของจริง

“ตอนนี้ของเลียนแบบทำได้ใกล้เคียงของจริงมากค่ะ วัสดุและอุปกรณ์ก็มีการเลือกและคัดเกรดให้ดูคล้ายของจริงมากที่สุด ดูด้วยตาอาจจะแยกไม่ออก ฉะนั้นสิ่งที่จะช่วยยืนยันได้ในขั้นพื้นฐานก็คือ ร้าน ให้เลือกร้านที่มีลักษณะไว้ใจได้ มีมาตรฐาน ดูง่ายๆจากการตกแต่งร้านก็ได้ หรือดูจากสินค้าข้างเคียง แบรนด์สินค้าทั้งหลายหากเป็นแบรนด์เนมดีๆ ทั้งร้าน ก็น่าจะเชื่อถือได้ว่ามีมาตรฐาน ถ้าสังเกตจากตู้ดิสเพลย์ในร้าน ในดิสเพลย์ของแต่ละแบรนด์ก็จะมีป้ายบอกว่าเป็น Authorize Agent ร้านที่ไม่ได้มาตรฐานเขาก็จะไม่มีดิสเพลย์แบบนี้ เพราะผลิตภัณฑ์พวกนี้จะต้องเป็นมาตรฐานที่ทางบริษัทเขาจะส่งมาให้ เราทำเองไม่ได้ ไม่ว่าจะสีสันของตู้หรือรูปแบบดีไซน์ แม้กระทั่งอุปกรณ์ที่ใช้ในการเสิร์ฟลูกค้า ถาด กระจก หรือสิ่งที่มอบให้ลูกค้าดูก็จะเป็นการออกแบบและกำหนดตามมาตรฐานของทางบริษัทเขาหมด เราไม่สามารถจะเอายี่ห้อของเขามาติดในร้านได้ถ้าไม่ใช่ Authorize Agent ในออสเตรเลียนี้กฏหมายทางด้านสิทธิทางปัญญาค่อนข้างแรง ฉะนั้นถ้ามี Authorize Agent เป็นสินค้าแท้แน่นอน สิ่งนี้จะเป็นสิ่งสังเกตพื้นฐาน อีกอย่างที่เราสามารถมั่นใจได้คือ บางแบรนด์จะมีกล่องสินค้า มีใบการันตี ซี่งก็จะมีตัวเลขประจำเครื่องอยู่ด้านหลังของนาฬิกา มันก็จะตรงกับใบการันตีซึ่งถูกพิมออกมาจากโรงงานเท่านั้นค่ะ นาฬิกาทุกเรือนที่เป็นของแท้จะมีสแตมป์ตัวเลขเครื่องเป็นตัวพิมพ์ปรุ ซึ่งมันจะมีการันตีด้วย หมายเลขรุ่นอาจมีซ้ำกัน แต่ตัวซีเรียลจะมีแค่เรือนละ 1 หมายเลขเท่านั้นค่ะ

จากการสังเกตร้านและสินค้าโดยเบื้องต้นนี้ ถ้าทุกอย่างเป็นมาตรฐาน เราก็สามารถที่จะแน่ใจได้ว่า นาฬิกานั้นๆ เป็นของแท้แน่นอน สิ่งสำคัญที่อยากให้ลูกค้าได้พึงระวังเอาไว้คือ การซื้อของออนไลน์ ถ้าเป็นแบรนด์ที่ได้มาตรฐาน อย่าง แทค ไบรลิ่ง เขาไม่มีเว็บไซต์ที่จะขายออนไลน์ ไม่มี Authorize ที่จะขายออนไลน์ ถ้าเราเข้าไปในเว็บไซต์ของแบรนด์นั้นๆ เขาจะระบุเลยว่า หากจะซื้อสินค้า ต้องมาติดต่อ Authorize Agent ไหนได้บ้าง พี่ก็ไม่แนะนำให้ซื้อออนไลน์ค่ะ เพราะอย่างที่บอกว่า ถ้าเราซื้อของออนไลน์ ตัวหน้าตาอาจจะดูเหมือนของจริง แต่เราไม่รู้หรอกว่า ข้างใน กลไกของเครื่องนั้นมาจากไหน คุณภาพอย่างไร ยิ่งถ้าเป็นการเลียนแบบเกรดเอนั้น เราดูด้วยตา แยกไม่ออกเลยทีเดียว ต้องถึงขั้นเปิดเครื่องดูกลไกข้างในถึงจะรู้ค่ะ เพราะงั้น เราก็เลี่ยงที่จะซื้อสินค้าออนไลน์จะดีกว่า และในการซื้อสินค้าออนไลน์ก็ไม่สามารถที่จะให้ Warrantee Card ได้ เพราะมีปัญหามาก ทั้งทางด้าน tax ที่ปกติผู้บริโภคต้องจ่ายเมื่อซื้อสินค้าในชีวิตประจำวัน และถ้าหากมีการขายออนไลน์ ก็คงไม่จำเป็นต้องมีพนักงาน ไม่ต้องมีการดิสเพลย์สินค้าแบบนี้ แต่เพราะแบรนด์ต้องการให้มีพนักงานเป็นตัวแทนการประชาสัมพันธ์ที่ดีของแบรนด์ต่อลูกค้า แบรนด์จึงไม่นิยมขายออนไลน์

การบำรุงรักษา
เริ่มจากการทำความสะอาดก่อนนะค่ะ ถ้าเป็นนาฬิกาสแตนเลสตีลก็ใช้น้ำล้างได้ อาจจะใช้แปรงสีฟันนุ่มๆ กับน้ำยาล้างจานหยดเดียวถูเบาๆ เอาคราบเหงื่อไคลออก แต่ก่อนล้างต้องแน่ใจว่าต้องเป็นประเภทกันน้ำและได้ปิดตัวเม็ดมะยมสนิทแล้วนะคะ ถ้าหากเป็นสายหนัง มันโดนน้ำไม่ได้ ก็ไม่ควรจะให้โดนน้ำเลย แค่ถอดผึ่งลมก็พอ
สำหรับนาฬิกา Automatic ควรจะต้องมาตรวจเช็คทุกๆ 4-5 ปี เพราะแรงเหวี่ยงจากการใช้งานในชีวิตประจำวัน อาจจะทำให้กลไกข้างในคลาดเคลื่อนไปบ้าง ถ้านาฬิกาที่เป็นแซฟไฟ คริสตัลกลาส มันก็จะกันรอยขีดข่วนอัตโนมัติ แต่บางยี่ห้อก็จะเป็นรอยได้บ้าง ปกติเราใส่นาฬิกาก็เป็นรอยบ้าง เป็นมากๆ เข้าก็เอาไปให้ทางศูนย์เขาปัดเงา ทำความสะอาด แต่ก็จะไม่ใหม่เหมือนของใหม่ อาจจะแค่จางลง ถ้ารอยลึกๆ ก็ขัดไม่ออก ค่าคลีนอยู่ที่ประมาณ 200 เหรียญอยู่ที่สภาพนาฬิกาด้วย

ข้อควรระวังสำหรับนาฬิกา
กฏพื้นฐานที่ควรจำไว้ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกาประเภทไหนนั้นก็คือ ไม่ควรจะทิ้งแบตเตอร์รี่ที่หมดไว้แล้วในเครื่องเพราะอาจทำให้เครื่องมีปัญหาได้ ซึ่งในการเปลี่ยนถ่าน ถ้าเป็นแบรนด์เนมก็แนะนำว่าควรนำไปเปลี่ยนที่ศูนย์ดีกว่าค่ะ เพราะถ้าส่งร้านนาฬิกาธรรมดาทั่วไป เขาก็จะแค่แกะฝาด้านหลังแล้วก็ใส่ถ่านเข้าไปเท่านั้น แต่เมื่อส่งเข้าไปที่ศูนย์ ทางศูนย์เขาจะเปลี่ยนถ่านและเปลี่ยนยางกันน้ำที่ด้านหลังเครื่อง ทำการซีลและเทสต์ให้เหมือนนาฬิกาที่ออกจากโรงงานอีกรอบหนึ่งค่ะ ถ่านที่ใช้นี้ก็จะมีอายุการใช้งานที่นานกว่าถ่านธรรมดาด้วย ปกติจะอยู่ที่ 1 ปี – 1 ปีครึ่ง ถ้าเป็นถ่านล็อตใหม่ๆ หน่อยก็อาจจะ 3 -5 ปีเลย ถือว่าจ่ายแพงกว่านิดหน่อย แต่ได้ซ่อมบำรุงนาฬิกาให้อยู่ได้นานยิ่งขึ้นนะคะ

Special Thanks:
สำหรับเรื่องราวดีๆ ของโอปอล
และนาฬิกา
คุณนุช อรนุช เกียรติทนงศักดิ์
Sales Manager
Harbourside Jewellers
Ground Level, Shop 133,
Harbourside Shopping
Centre, Darling Harbour, Sydney 2000
Phone: (02) 9281 5140
การเลือกซื้อนาฬิกาให้เหมาะสมกับผู้ใส่
สมมุติถ้าจะซื้อนาฬิกาให้เป็นของขวัญนั้น ปัจจัยแรกต้องดูที่อายุของผู้ใส่ก่อน ว่าเพศไหน อายุเท่าไหร่ แต่งตัวสไตล์ไหน ชีวิตประจำวันทำอะไร เช่น ทำงานออฟฟิซ หรือ ทำงานภาคสนาม ถ้าวัยรุ่นก็อาจจะเลือกนาฬิกาแบบมีลวดลาย ดีไซน์หน่อย แต่ถ้าหากค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่ ก็ควรที่จะเลือกนาฬิกาเรือนไม่หนามากเกินไป ดีไซน์ไม่ยุ่งยากมาก หน้าปัดสีอ่อน ไม่จำเป็นต้องเป็นตัวเลขใหญ่ แต่มาร์คเกอร์ต้องชัดเจน และไม่มีลวดลายมากเกินไป ถ้าเป็นคนที่ทำงานภาคสนามก็ต้องดูแบบสปอร์ต แข็งแรงหน่อย สำหรับผู้หญิงโอกาสที่จะเลือกไปในแบบสวยงามจะมีมากกว่า มีดีไซน์มากกว่า มีเพชรประดับ ทองประดับ เพราะแต่งตัวมากกว่าผู้ชาย ก็จะเน้นความสวยงาม และสำหรับผู้ที่เป็นนักสะสมนาฬิกา ก็จะนิยมซื้อนาฬิการุ่นที่ผลิตจำนวนจำกัด เช่น พวกรุ่น Limited edition บางรุ่นผลิตแค่พันเรือน สองพันเรือน
มาที่เรื่องของสีและดีไซน์สำหรับหน้าปัด ถ้าคนที่ผิวขาวมากๆ ก็ไม่ควรที่จะเลือกนาฬิกาสีขาวล้วนเพราะจะทำให้ดูซีดเกินไป ควรจะเลือกนาฬิกาที่หน้าปัดอาจจะมีสีนิดหน่อย เช่นสีดำ สีชมพูหรือ 2กษัตริย์ ทองกับเงิน เพราะจะทำให้ขับผิว ถ้าจะใส่ขาวเรียบๆก็ควรจะมีเพชรประดับนิดหนึ่ง ถ้าสีผิวเข้มควรเลือกหน้าปัดสีอ่อน เช่น ออกโทนสีขาวมุก เป็นต้น

โอปอล
หลายท่านอาจจะไม่ทราบว่า หินสีสวยที่เรียกว่าโอปอลเหล่านี้ ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มของอัญมณีพลอย เป็นอัญมณีประจำราศีตุลย์และถือได้ว่าเป็นพลอยประจำชาติของประเทศออสเตรเลียด้วยแม้ว่าในประเทศอื่นๆ ก็อาจจะพบโอปอล เช่น ประเทศพม่า ประเทศเม็กซิโก แต่ลักษณะเฉพาะบางประการที่ทำให้โอปอลออสเตรเลียแตกต่างไปก็คือ สีของโอปอล โอปอลออสเตรเลียจะมีสีที่เข้ม เช่น สีเขียว สีน้ำเงิน โดยเรียกโอปอลประเภทนี้ว่า Black Opal ขุดพบเฉพาะในประเทศออสเตรเลียเท่านั้น ส่วนโอปอลที่พบในประเทศอื่นๆ นั้นจะเป็นโอปอลสีอ่อน หรือสีขาว White Opal สีจริงของ Black Opal นั้นไม่ได้มีสีดำ แต่ที่ถูกเรียกแบบนั้น เพราะโอปอลต้นกำเนิดในขณะที่ยังไม่เจียระไนจะเป็นหินธาตุที่มีสีเข้มมาก อาจจะเป็นโทนน้ำเงินหรือโทนสีแดง

โอปอลเนื้อแท้และแบบผสม
ที่เราเห็นโอปอลขายอยู่ตามท้องตลาดทั่วไปและราคาอาจจะไม่ได้สูงมาก ไม่ใช่ว่าจะเป็นโอปอลของปลอม นั่นก็เป็นเนื้อโอปอลจริง แต่กรรมวิธีการผลิตนั้นถูกทำให้มีราคาถูกลง ซึ่งโอปอลทั้งเม็ด( Solid Opal) จะมีราคาแพงมาก บางเม็ดมีราคาถึงล้านบาท จึงมีการนำเอาโอปอลมาสไลด์เป็นชิ้นบางเท่ากระดาษ แล้วนำมาประกบกับหินอีกชิ้นหนึ่งแล้วเอากาวทาประกบกันเป็นเนื้อสองชั้น เรียกว่า Doublet Opal หรือบางชิ้นก็เอาโอปอลมาสไลด์สองชั้นแล้วเคลือบพลาสติกด้านบนให้ดูเงางาม ก็จะเหมือนกับเป็นโอปอลทั้งเม็ด แต่ซื้อได้ในราคาที่ถูกลง

ในเรื่องของ ราคาของโอปอล เราจะเปรียบกับราคาในโอปอลที่เป็นชนิดเดียวกันเท่านั้น ซึ่งแบ่งออกเป็น Light หรือ White Opal โอปอลสีอ่อนหรือสีขาวที่เราพูดถึง Black Opal โอปอลออสเตรเลียสีเข้ม Bolder Opal ส่วนที่โอปอลถูกรวมอยู่กับหิน เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ซึ่งเราไม่สามารถจะแยกมันออกมาจากกันได้ เราจึงต้องตัดมันมาทั้งเนื้อหินและโอปอลด้วยกัน
และสุดท้าย Crystal Opal ซึ่งจะมีความใกล้เคียงกับ White Opal แต่ต่างกันที่ คริสตัลมันจะมีความใสและวาวกว่า ส่วน white opal ส่วนพื้นมันจะมีความเป็นสีขาวขุ่น (milky) กว่าคริสตัล

นอกจากนี้ยังมีอีกประเภทคือ Bolder Doublet เป็นแบบผสมที่เราทำมันขึ้นมาโดยที่เราใช้หินที่มีลักษณะเป็นสีน้ำตาล เอามาสไลด์แล้วเอาไปใส่กับโอปอล คือเราพยายามทำให้ใกล้เคียงกับธรรมชาติของมันมากที่สุด เพราะฉะนั้นที่เราเห็นสีน้ำตาลด้านหลังนี้ก็คือเนื้อหิน Bolder เมื่อสังเกตุดูด้านข้างก็จะเห็นเลเยอร์ ส่วนราคา ถ้าหากว่าตัว Bolder นี้เห็นพื้นสีน้ำตาลน้อยที่สุด ก็จะแพงขึ้น ราคาก็จะใกล้เคียงกับ white opal โดยราคาจะขื้นอยู่กับสีสัน และฝีมือ ยิ่งถ้าเห็นสีโอปอลชัดเจน เห็นสีน้ำตาลของหินน้อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งราคาสูงขึ้นเท่านั้น
ฉะนั้น ถ้าจะเทียบราคา Black Opal ก็จะต้องเทียบกับ Black Opal ด้วยกัน เอาไปเปรียบเทียบกับ white opal ไม่ได้ ราคาจะขายต่อสีต่อกะรัต แล้วก็ชั่งน้ำหนักเอา สีเดียวกัน เกรดเดียวกัน แน่นอนว่าเม็ดที่ใหญ่กว่าต้องราคาแพงกว่า สำหรับโอปอล โอปอลที่ดี สีสวย มองมุมไหนก็สวย มองเห็นสีหมดทุกมุม สีสดๆ มีประกายเยอะ นั่นคือโอปอลที่สวยและมีราคา

วิธีดูแลรักษา
โอปอลเป็นพลอยเนื้ออ่อน ไม่ควรจะนำไปแช่ในสารเคมีที่มีความเป็นกรดรุนแรง เช่น น้ำยาล้างเครื่องประดับ ขัดเครื่องเงิน ก็ไม่ควรนำพวกนี้ลงไปแช่ ตัวโอปอลนี้โดนน้ำได้ ไม่มีปัญหา ยกเว้นในกรณีที่เอาไปทำเป็นเครื่องประดับที่เขาใช้ติดกาวเอาไว้ มันแช่น้ำไม่ได้อยู่แล้ว Setting บางตัวมันไม่ได้มีหนามเตยเอาไว้จับโอปอล ใช้แค่กาวติดเอาไว้ ก็ไม่ควรจะให้โดนน้ำ หากเป็นโอปอลล้วนๆ ก็สามารถโดนน้ำได้
โอปอลที่เป็นเนื้อผสมสองชั้น สามชั้น สามารถใส่ได้ทุกวัน แต่ห้ามโดนน้ำ เพราะประกอบชั้นสองชิ้น สามชิ้น เอากาวประกบกัน ซึ่งมันก็จะได้ในส่วนที่ว่าชิ้นใหญ่ สีสวย ราคาย่อมเยาว์ แต่ต้องดูแลรักษา เวลาอาบน้ำ ว่ายน้ำ ต้องถอดออก

วิธีการเลือกซื้อ
ใช้หลักการง่ายๆว่า สำหรับคนสีผิวเข้ม ควรเลือกพลอยสีอ่อน อย่างเช่น โอปอลสีขาว หรือ คริสตัลโอปอล สำหรับคนที่รูปร่างใหญ่หรือคนที่มีอายุก็ควรใช้โอปอลชิ้นใหญ่ ถ้าซื้อให้วัยรุ่นหรือผู้ใส่ที่อายุยังน้อย ก็อาจเป็นจี้ห้อยคอ หรือเครื่องประดับอันเล็กๆ น่ารัก ดูพอเป็นสีสัน
“ในออสเตรเลียนี้ กฏหมายทางด้านสิทธิทางปัญญาค่อนข้างแรง ฉะนั้นถ้ามี Authorize Agent เป็นสินค้าแท้แน่นอน สิ่งนี้จะเป็น สิ่งสังเกตพื้นฐานส่วนของเลียนแบบช่วงรอยตัดจะดูไม่คมเท่าของจริง พูดถึงในเรื่องขนาดของกระเป๋าของแท้รูปทรงจะได้สัดส่วน ด้านหน้าและด้านหลังจะดู Balance กัน ส่วนสายสะพายดูที่การตัดเย็บจะละเอียด ”.
กระเป๋าแบรนด์เนม
สิ่งจำเป็นพื้นฐานโดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่ถือเป็นของคู่กัน เวลาออกจากบ้านทุกครั้งก็คือ กระเป๋านั่นเอง ซึ่งทั้งกระเป๋าถือ กระเป๋าหิ้ว และกระเป๋าสะพาย ต่างก็มีให้เลือมากมายหลายแบบ หลายยี่ห้อ และหลายราคา การเลือกใช้กระเป๋านั้น ก็เป็นการบอกถึงรสนิยมและ ฐานะทางสังคมได้อีกอย่างหนึ่งเช่นเดียว กับเครื่องประดับและนาฬิกาของผู้ใช้
ปัจจุบันนี้กระเป๋ายี่ห้อแพงๆ มากมายที่เป็นของเลียนแบบ ถูกผลิตออกมาขายจนบางครั้งดูแทบไม่ออกว่าอันไหนของจริงอันไหน ของที่คุณซื้อ Real or Fake ? กันแน่ คุณเบิร์ด เจ้าของร้านละไม ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่คลั่งไคล้ กระเป๋าแบรนด์เนมมาตั้งแต่สมัยมัธยม จนทุกวันนี้ก็หันมาทำธุรกิจ ขายกระเป๋าแบรนด์เนมมือสอง ย่านไทยทาวน์ ซึ่งคุณเบิร์ดจะมาอธิบายถึง การดูกระเป๋าแบรนด์ดัง ของที่คุณซื้อ Real or Fake ? ดูกันตรงไหน

Louis Vuitton
กระเป๋าหลุยส์ทั่วไป เวลาซื้อจุดแรกที่ผมจะดูคือคำว่า Louis Vuitton Paris Made in France ก่อน ความคมชัดของการพิมพ์ การปั๊มการเรียงของตัวอักษร การเว้นช่องไฟได้สัดส่วน เสถียร ถ้าเป็น LV คำว่า Vitton กับ paris ตัว R กับ I จะอยู่ระหว่างตัว Uของคำว่า Louis ดูหนังกำมะหยี่ ของแท้จะจับแล้วเนียนมือมากกว่า คุณภาพหนังจะดีกว่า
สำหรับใบแรกที่อยากนำเสนอคือรุ่น Epi Petit Noe Blue แต่คนไทยเรียกว่ารุ่น ลายไม้ เนื่องจากลายของมันจะดูคล้ายคลึงกับลายของเปลือกไม้ วิธีการดู ปกติถ้าเป็นลายแบบนี้ ทรงขนมจีบ จะเป็นของ LV ยี่ห้อเดียว

และถ้าดูจริงๆ ลายของแท้จะไม่เสมอกันทั้งใบ จะเป็นแนวเล็กบ้างใหญ่บ้าง ส่วนของก๊อปปี้จะปั้มครั้งเดียว ลายจะเป็นแนวขนาดเท่ากัน ดูเหมือนกันทั้งใบ อีกจุดที่สำคัญ คือตราสัญลักษณ์กระเป๋า LV ลายไม้ของแท้ รอยตัดระหว่างลายไม้กับสัญลักษณ์แบรนด์และตัวหนังสือจะคมชัดมาก ไม่มีเบลอ เหมือนการกดป้ำทีเดียวแล้วดึงออกเลย
ส่วนของเลียนแบบช่วงรอยตัดจะดูไม่คมเท่าของจริง พูดถึงในเรื่องขนาดของกระเป๋าของแท้รูปทรงจะได้สัดส่วน ด้านหน้าและด้านหลังจะดู Balance กัน ส่วนสายสะพายดูที่การตัดเย็บจะละเอียด

อีกรุ่นที่คนไทยนิยมก็คือรุ่นทรงหมอนหรือ Speedy รุ่นนี้ราคาจะไม่แพงมาก เน้นเรื่องการวางลาย หน้าหลังจะตรงกัน ลายของยี่ห้อ LV จะคว่ำหัวด้านหนึ่งเพราะเขาใช้หนังชิ้นเดียวกันในการตัดเย็บ แต่ของเลียนแบยุคนี้ก็ทำดีมาก เมื่อก่อนวางลายสะเปะสะปะ
แต่เดี๋ยวนี้ทำได้ใกล้เคียงมาก แต่มองถึงการวางช่องไฟแล้ว ของจริงจะวางได้เป๊ะกว่า การ Control ลายเส้นจะเสมอมากกว่า อีกจุดสังเกตคือ ตรงคำว่า France ตัว r จะอยู่เกือบชิดเส้นด้าย เพราะการวางจะดูความ Balance ของใบ ปกติรุ่น Speedy จะทำที่ฝรั่งเศส แต่ถ้าทำจากอเมริกาจะไม่ชิดเส้นด้าย Size ของมันจะมีบอกอยู่ที่ด้านหลังลิ้นข้างกระเป๋า

Gucci
เทคนิคการดู ตัว G ไขว้ที่เป็นโลโก้ของ Gucci จะดูเรียงตัวสม่ำเสมอกันทั้งใบ ถ้าของเลียนแบบจะดูออกว่าขนาดใหญ่เล็กปนกัน ยิ่งแบบผ้าค่อนข้างเลียนแบง่ายเพราะถ้าเกรดดีๆ ของ Gucci ค่อนข้างจะเหมือนมาก แต่ที่ต้องดูคือใบ Tag เหมือนเป็น Date Code น้ำหนัก สามารถจำแนกได้โดยดูจากของแท้จะหนักกว่า คนที่ไม่เคยถืออาจจะไม่รู้น้ำหนักมือ หัวซิปจะมีรหัสบอกบางใบซึ่งแต่ละรุ่นก็จะไม่เหมือนกัน และตัวปั๊มคมชัด ซึ่งของเลียนแบบจะไม่ชัดเจนสวยงามเหมือนของแท้

ข้อเสียของกระเป๋า Gucci ก็คือ จะมีบางรุ่นที่ทางบริษัท เอาของออกมา Sale แต่ไม่ใช่ทุกรุ่น ทำให้ความรู้สึกในเรื่องของคุณค่าอาจจะน้อยลง ตัวอย่างใบที่มีอยู่นี้ได้มาจากญี่ปุ่น อายุกระเป๋าประมาณ 20 ปีแล้วแต่สภาพภายนอกดูดีมาก แต่ข้างในก็เป็นไปตามสภาพ สำหรับ Gucci ของจริงรุ่นใหม่ๆ เวลาจับจะสัมผัสได้ว่าหนังจะนิ่มกว่าของเลียนแบบ

Prada
Prada รุ่น Saffiano Lux จะเป็นรุ่นที่ขายดี หนังของ Prada จะมี 2 แบบ คือแบบด้าน กับแบบเงา การดู อย่างแรกดูการ์ดก่อนเลย เพราะกระเป๋าพราด้า ทุกใบจะมีการ์ดให้ ซึ่งการ์ดจะบอกถึงสถานที่ๆ ซื้อ รุ่น สี วันที่ซื้อ สมัยก่อนมีการก๊อปปี้การ์ดซึ่งค่อนข้างทำได้เหมือน แต่จะต่างตรงคำว่า Saffiano Lux ซึ่งของปลอมพิมพ์ติดกัน ถุงรุ่นแรกๆ จะทำที่อินเดีย รุ่นหลังๆ ทำที่สเปน ลายบนตัวกระเป๋าจะเป็นเส้นคลื่นเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน แต่เวลาลูบแล้วเนียน ไม่สะดุดมือ

แต่ถ้าของปลอมด้ายจะเหมือนมากแต่เส้นคลื่นจะเป็นคลื่นเส้นเท่ากันหมดทั้งใบ เวลาลูบจะรู้สึกสะดุดมือ เหมือนหนังที่อบแล้วยังไม่ได้ที่มันก็อาจจะมีความรู้สึกตะปุ่มตะป่ำ ต้องอาศัยประสบการณ์เหมือนกัน จับบ่อยๆ เห็นบ่อยๆ อีกอย่างสายห่วงของจริงตามรอยยาแนวจะทำได้เรียบเนียน ตัวกระเป๋าได้ทรง ส่วนของปลอมสายจะยาวกว่า และปิดทึบรอยต่อ กลิ่นหนังของแต่ละรุ่น แต่ละแบรนด์ ไม่เหมือนกัน กลิ่นของ Prada จะฉุนและแรงกว่า ต้องคนใช้หรือคนเล่นถึงจะรู้

การดูแลรักษา
ก็จะมีน้ำยา หรือเป็นผ้า Polish ที่เอาไว้ขัดกับของที่เป็นสีทองหรือสีเงิน ลบรอยขนแมว แล้วก็มีพวกสเปรย์ทำความสะอาดที่ป็นตัวเคลือบกันน้ำ ซึ่งสามารถใช้กับอุปกรณ์ที่เป็นหนังได้หมด ถ้าส่วนที่เป็นหนังแท้ หรือ Cowhide เลอะ ให้ใช้ยางลบดินสอ แต่ขอให้เป็นก้อนใหม่ลตรงที่สกปรกเบา และให้ลูบไปทางเดียวกัน วีธีนี้สามารถขจัดคราบสกปรกได้บ้างแต่อาจจะไม่ 100% หรือจะใช้ Baby wipe แบบที่ไม่มีแอลกอฮอล์ทำความสะอาดก็ได้
แต่ถ้าอยากคลีนกระเป๋าทั้งใบแบบ Full Clean ให้แลดูใหม่หมดจด ต้องไป Spa กระเป๋า ซึ่งราคาค่อนข้างแพง ที่เมืองไทยค่าคลีนจะตกอยู่ประมาณไม่ต่ำกว่า 5,000 บาท ผลที่ได้อาจจะไม่ถึงกับใหม่แบบมือหนึ่ง แต่รับรองว่ารอยดำๆ คราบสกปรกหายหมดจริงๆ ฉะนั้นหากกระเป๋าเกิดเปื้อนอะไรขึ้นมา ต้องรีบทำความสะอาดทันที อย่าปล่อยทิ้งไว้ เพราะไม่งั้นจะเอาออกยาก
การเก็บรักษา อย่าให้โดนแดดตลอดเวลา น้ำเป็นเฉพาะบางรุ่น เช่นพวก Cowhide เก็บใส่ Dust Bag เพื่อกันฝุ่น กันกระแทก แต่ไม่ต้องปิดถุงจนหมด เหลือไว้ให้มีอากาศถ่ายเทบ้าง เพราะถ้าปิดหมด อาจจะมีความชื้น ราขึ้นอีกต้องระวังเหมือนกัน บางคนลูกค้าค่อนข้างจะถนอมมาก เก็บมิดชิดปิดทึบเกินไป เพราะหนังพวกนี้ มันต้องใช้บ้าง เพราะถ้าไม่ใช้เลย หนังกรอบ เสียแน่นอน ทุกยี่ห้อด้วย หนังแท้จะเป็นอย่างนั้นจริงๆ

Special Thanks:
คุณเบิร์ด ดุษฎี รอดมุ้ย
ร้านละไม
642/40 Campbell St.
Sydney, 2000
Phone: 0412 853 790