Home บทความอยู่ออส ข้อคิดดีดี จากผู้ที่เคยเผชิญโรคมะเร็งมาแล้วถึง 2 ครั้ง

ข้อคิดดีดี จากผู้ที่เคยเผชิญโรคมะเร็งมาแล้วถึง 2 ครั้ง

by ChaYen
ข้อคิดดีดี

ข้อคิดดีดี จากผู้ที่เคยเป็นมะเร็ง ณ ปัจจุบัน โรคมะเร็งเป็นโรคร้ายอันดับต้น ๆ ที่คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกกว่า 7.6 ล้านคนโดยเฉลี่ย ซึ่งสาเหตุที่แน่ชัดของการเป็นมะเร็งก็ยังซับซ้อน ยังไม่ได้สามารถยืนยันได้ว่าเกิดจากอะไร

ทราบแต่เพียงว่าเป็นการเจริญเติบโตของเซลล์ที่ผิดปกติ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า การที่เป็นมะเร็งแล้ว จะไม่สามารถหาย และกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติได้ เราได้มีโอกาสสัมภาษณ์ คุณแหว๋ว ศิริวรรณ คูผ่องศรี ซึ่งเคยเผชิญกับโรคมะเร็งมาแล้วถึง 2 ครั้ง

มะเร็งครั้งแรก ปี 2000

การใช้ชีวิตช่วงนั้นก็ปกติดี ไม่ได้ทำงานหนักหรือเครียดอะไร แล้วเผอิญถึงช่วงวัยที่เราต้องไปตรวจภายใน(แปบส์เมียร์) ก็เลยไปตรวจ จำได้แม่นเลยว่า หลังจากตรวจ คุณหมอโทรมาหาเรากลางดึกคืนนั้นว่าอยากพบเราพรุ่งนี้เลย พี่ใจแป้วเลย คิดในใจว่า ต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ

Royal Randwick women hospital

พอรุ่งเช้าไปพบคุณหมอ เขาก็บอกว่า เขาพบเซลผิดปกติบางอย่างซึ่งอาจจะเป็นข่าวไม่ค่อยดีนัก แต่ให้พี่รีบติดต่อหมอที่เค้าแนะนำเดี๋ยวนี้และขอนัดเค้าด่วน เขาก็ทำจดหมายส่งตัวเราไปตรวจอย่างละเอียดที่ Royal Randwick Hospital for Woman ตัดชิ้นเนื้อออกมาดู ผลออกมาว่า เป็นมะเร็งปากมดลูก ระยะที่ 2 กำลังจะไป 3

ความรู้สึกตอนนั้นอึ้ง งงและช็อค ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าจะเป็นโรคนี้ ทำตัวไม่ถูก เพราะมันไม่เหมือนกับการป่วยเป็นหวัดที่เรารู้ว่า กินยาก็หาย แวบแรกที่นึกถึงคือห่วงลูกและครอบครัว แต่คนที่ให้สติเราตอนนั้นคือคุณหมอ คุณหมอให้กำลังใจเรา บอกเราว่า อย่าเพิ่งคิดมากให้ทำตามคำแนะนำของเขา เราก็เชื่อตามนั้น ตัดสินใจเริ่มเข้าขบวนการรักษาของเค้าโดยทันที

คุณหมอรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดให้พี่ ผ่าขวางเปิดแนวบิกินี่ไลน์ เพื่อเปิดดูทั้งหมด คว้านชิ้นเนื้อออกและคว้านเผื่อเยอะขึ้นเล็กน้อย เพื่อป้องกันการลาม แต่เขาไม่ได้ตัดมดลูกออก เพราะคุณหมออยากให้เรายังมีประจำเดือนปกติ หลังจากผ่าตัดก็หายดี ไม่ได้ทำคีโมหรือรักษาใดๆ ช่วงแรกก็จะต้องไปพบหมอทุกเดือน หลังจาก 6 เดือนก็ทิ้งระยะห่างตามลำดับ

ข้อคิดดีดี

มะเร็งครั้งที่สอง ปลายปี 2003

ตอนเป็นครั้งนี้หนักมาก ช่วงนั้นพี่รู้สึกปวดหลังมากตรงเอวขวาด้านหลัง ปวดจนต้องกินยาแก้ปวดชนิดรุนแรงวันละ 2 เม็ด พี่ก็เริ่มกลัวว่าจะผิดปกติ แล้วบังเอิญกลับไทยพอดีก็เลยไปเอ็กซเรย์ที่โรงพยาบาล ผลออกมาก็ไม่มีอะไรผิดปกติ พอเรากลับมาออสเตรเลีย ก็ปวดอีกเหมือนเดิม พี่เลยกลับไปตรวจภายในอีก ผลออกมาว่า เป็นมะเร็งรังไข่ในระยะที่ 3 ซึ่งเป็นขั้นที่ร้ายแรงพอสมควร

การที่ปวดหลัง เพราะชิ้นเนื้อร้ายนี้มันโตตรงรังไข่ ใกล้กับถุงปัสสาวะ แล้วไปดันเอาเส้นประสาทกล้ามเนื้อด้านหลังไปด้วย ทำให้เรารู้สึกปวด การป่วยครั้งนี้ ร้ายแรง คุณหมอบอกพี่ว่า โอกาสรอดแค่ 50/50 เท่านั้นนะหรือ ถ้ามันลามไปที่ถุงปัสวะ เพราะมันใกล้กันมาก ก็อาจจะต้องเอาถุงปัสวะออก หรือไม่ก็ต้องเอาถุงปัสวะออกมาชั่วคราวและรักษาจนข้างในหายแล้วค่อยใส่กลับเข้าไป เพราะถ้าเชื้อมะเร็งเข้าไปได้ มันจะกระจายไปทั่วร่างกายเราเลย พี่ก็จะต้องใช้ชีวิตแบบมีถุงปัสสาวะห้อยอยู่ข้างนอกไปตลอด

ข้อคิดดีดี

โลกตอนนั้นมันดูมืดไปเลย พี่ขอเวลาคุณหมอ 1 สัปดาห์ เพราะพี่ยังมีห่วงอยู่หลายเรื่อง ที่ทางที่เมืองไทยที่ต้องจัดการให้เรียบร้อยเผื่อพี่เป็นอะไรไป พี่ก็บินกลับเมืองไทยมาพักบ้านเพื่อนสนิท ชื่อจุ๋ม ดารานี เดชะไกศะยะ พี่ก็เล่าให้เพื่อนฟังว่าเกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนเขาก็แนะนำพี่ว่า ทำไมเราไม่ลองไปหาหมออื่นดูบ้าง เปิดโอกาสรับฟังคำแนะนำจากหลายๆหมอ

พี่ก็เลือกไปโรงพยาบาลที่ใกล้ๆ หลังจากตรวจ คุณหมอบอกว่า “เคสแค่นี้สบายมาก ผ่าตัดวันเดียวก็เดินได้แล้ว” พี่ฟังแล้วก็แปลกใจมาก ทำไมมันฟังดูง่ายขนาดนี้ พี่ก็เลยลองไปหาหมอที่เพื่อนแนะนำที่โรงพยาบาลบำรุงราษฏร์ คุณหมอท่านนี้ท่านอายุมากแล้วและเคสของพี่เป็นเคสค่อนข้างลำบากเลยแนะนำคุณหมออีกท่านหนึ่งซึ่งเก่งและยังหนุ่ม ชื่อ คุณหมออภิชาติ ซึ่งประจำอยู่แผนกรังสีวิทยา

ข้อคิดดีดี

หลังจากตรวจกับคุณหมออภิชาติก็ให้กำลังใจพี่ บอกพี่ว่า พี่โชคดีมาก เคสแบบพี่คุณหมอกำลังรักษาคนไข้หญิงท่านหนึ่งซึ่งผลรับก็เป็นที่น่าพอใจ ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกันกับที่พี่เป็น ระยะเดียวกัน และตอนนี้เขากำลังจะหาย แล้วท่านก็พาพี่ไปพบคนไข้ท่านนี้ ไปคุยกับเขาว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง พี่เห็นว่าเขาก็ดีขึ้นจริงๆ และการคุยครั้งนี้ก็ทำให้เราใจชื้นขึ้นมาเป็นกอง

“ตั้งสติรับกับมะเร็ง หากำลังใจ บอกกับทุกคนเพื่อรับฟังคำแนะนำดีๆ”

ChaYen

พี่เลยตัดสินใจว่าจะอยู่เมืองไทย ทำการรักษาเลย คุณหมออภิชาติเห็นว่าเคสพี่เป็นเคสใหญ่ และเป็นตรงรังไข่ ท่านก็เลยดึงคุณหมอวิสิทธิ์ ผู้เชี่ยวชาญจากแผนกสูตินารีเวชเข้ามาร่วมทีมในการรักษาพี่ด้วย ขั้นตอนในการรักษามี 4 ขั้นตอน คือ ฉายแสง ทำคีโม ผ่าตัด และฝังแร่ วิธีการแรก การฉายแสง คุณหมอจะทำการสแกนตัวเราก่อนว่ามะเร็งอยู่ตรงไหน มาร์คเอาไว้ แล้วก็ทำการฉายแสงเพื่อฆ่าชิ้นเนื้อนั้น พี่ต้องทำทั้งหมด 30 ครั้ง

หลังจากนั้น ก็ทำการฉีดคีโม ประมาณ 3 ครั้ง การฉีดนี้ค่อนข้างแรง เพราะมันเป็นการฉีดฆ่าเชื้อมะเร็งในตัวเรา วันแรกพี่แทบเป็นลม วันต่อๆมา ผมพี่ร่วงหมดหัวเลย ขั้นต่อไปก็ผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออกจากรังไข่ และตัดรังไข่ออกด้วย คุณหมอบอกว่า ใช้เวลาผ่าตัดพี่ถึงสิบกว่าชั่วโมง ยืนจนขาสั่น เพราะนานมาก

ข้อคิดดีดี

หลังจากผ่าตัด คุณหมอก็เอาสายยางเล็กๆ เสียบเข้าไปล้อมแผลผ่าตัดเราไว้ เพื่อจะทำการฝังแร่ ซึ่งพี่เองก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน วิธีการคือ คุณหมอเอาสายยางที่เสียบล้อมแผลเราไปต่อกับเครื่องมือแพทย์ แล้วก็ใช้ผลึกแร่ชนิดหนึ่ง เม็ดเล็กๆ สีขาว ซึ่งมีพลังงานความร้อนในตัว ใส่เข้าไปในเครื่อง ให้มันวิ่งตามสายยางมาวนรอบแผลเรา พลังงานความร้อนจากผลึกแร่ตัวนี้จะช่วยยับยังเส้นใยและรากของมะเร็งที่มันอาจหลงเหลืออยู่ เพราะเซลล์มะเร็งมันจะมีเหมือนราก เหมือนใยที่เมื่อบางส่วนโดนตัดไป ใยพวกนี้ก็จะสร้างขึ้นมาใหม่ได้อีก แร่นี้ก็จะฆ่ารากเซลล์มะเร็งนี้ให้หมด การรักษาทั้งหมดนี้ใช้เวลา 6 เดือน พี่ก็พักรักษาตัวระยะหนึ่งแล้วก็บินกลับมาออสเตรเลีย

มุมมองชีวิตหลังจากมะเร็ง


มุมมองเปลี่ยนไปเยอะเลยค่ะ หลังจากมะเร็งครั้งที่ 2 เราเข้าใจชีวิตมากขึ้น เห็นถึงสัจธรรมและความธรรมดา และปล่อยวางกับสิ่งรอบตัวมากขึ้น หลังจากรับการรักษาแล้ว คุณหมอบอกว่า “ชีวิตหลังจากนี้ ถือเป็นกำไร ใช้ให้คุ้มนะคุณแหว๋ว เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ” หลังจากรักษาแล้ว พักฟื้น พี่ก็ใช้ชีวิตได้ตามปกติค่ะ กินอาหารปกติทุกอย่าง ทำงานบ้าง ไม่พยายามเครียด มองโลกในแง่ดี ใช้คำสอนธรรมมะมาสอนวิธีใช้ชีวิตด้วย แต่ก็ไม่ได้ซีเรียสมาก

ข้อคิดดีดี

ข้อคิดที่ได้จากมะเร็ง

มันอาจจะยากแต่ต้องตั้งสติให้ได้ ไม่ควรปิดบัง เพื่อรับฟังคำแนะนำดีๆ ที่เราอาจไม่รู้ เพราะหากถ้าเราปิดบัง เราก็อาจจะไม่ได้รับคำแนะนำดี ๆ ก็ได้ เมื่อรู้ต้องรีบรักษาให้เร็วที่สุด เพราะมะเร็งมันจะโตและลามเร็วมากเมื่อขึ้นถึงระยะที่ 2 แล้ว ตอนป่วยครั้งแรก พี่รู้จักลูกค้าคนหนึ่งซึ่งเป็นมะเร็งปากมดลูกระยะเดียวกันกับพี่ หลังจากพี่ผ่าตัดแล้วพยายามติดต่อเขากลับไป จึงทราบว่าเขาเสียชีวิตแล้วภายในระยะเวลาแค่ 2 เดือนเท่านั้นเอง

ข้อคิดดีดี กับการต่อสู้กับมะเร็งจึงต้องใช้การรักษาที่ทันท่วงที ตอนป่วยครั้งที่ 2 คุณหมอก็บอกว่า ที่สามารถรักษาได้เพราะพี่พอจะรับได้กับค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ทั้งเรื่องเวลา และพร้อมทำตามหมอแนะนำ แต่ก็มันก็คุ้มค่าจริง ๆ กับชีวิตที่ได้มาใหม่ อย่าลืมนะคะต้องเปิดโอกาสปรึกษาหมอหลายๆ ท่าน เพราะแม้ว่าหมอจะเรียนจบมาเหมือนกัน แต่ประสบการณ์ ความรู้และเทคนิคการรักษาก็ไม่เหมือนกัน

ซึ่งหากไม่ลองคุยเราก็จะไม่รู้ว่าใครถนัดอะไร อันนี้สำคัญมาก โดยเฉพาะผู้หญิง เมื่อถึงวัยอันควรแล้ว หมั่นตรวจสุขภาพ โดยเฉพาะการตรวจภายใน การป่วยของพี่ทั้ง 2 ครั้ง ไม่ได้มีอาการใดๆที่จะบ่งบอกเลย ผู้หญิงถ้าเป็นไปได้ควรไปตรวจบ่อย ๆ ไม่ว่าหน้าอกหรือปากมดลูก
สำหรับคนที่กำลังเผชิญกับโรคนี้ตอนนี้ อย่าเพิ่งหมดหวังตั้งสติให้ได้ ประสบการณ์ที่ผ่านมาของพี่ พี่ยินดีให้ข้อมูลเพิ่มเติม ทุกอย่างที่เป็นประโยชน์ ถ้าอยากติดต่อได้ ตามอีเมล์นี้ wendy@thetalllemongrass.com.au ยินดีเป็นกำลังใจให้

Related Articles