Home Editor's Picks ดนัย จันทร์เจ้าฉาย หัวใจผมเป็นสุข ทุกครั้ง

ดนัย จันทร์เจ้าฉาย หัวใจผมเป็นสุข ทุกครั้ง

by ChaYen
ดนัย จันทร์เจ้าฉาย

ในแวดวงธุรกิจ ชื่อของ ดนัย จันทร์เจ้าฉาย นั้นเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ยกตัวอย่างง่ายๆ ได้จากการเป็นผู้สร้างแบรนด์ให้กับบริษัท The Pizza Company ที่สามารถตีตลาดบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Pizza Hut ได้อย่างราบคาบ และผู้ริเริ่มโครงการดีๆ อย่างโครงการเมาไม่ขับ

ดนัย จันทร์เจ้าฉาย

อีกมุมหนึ่งในแวดวงสังคมก็มีผู้คนจำนวนไม่น้อย รู้จักคุณดนัยมในฐานะวิทยากรบรรยายและผู้ปฏิบัติธรรม ที่นำพระพุทธศาสนาเข้ามาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันและเป็นประโยชน์กับผู้อื่นได้เสมอๆ เราได้รับเกียรติจากคุณดนัย จันทร์เจ้าฉายที่เปิดโอกาสให้เราได้เรียนรู้เข้าใจอีกมุมมองหนึ่งของชีวิต

รู้จักตัวเองอย่างไร

ผมรู้ว่าผมเป็นใคร มีหน้าที่อะไรตั้งแต่ผมอายุ 17 แล้วครับ ตอนนั้นผมเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่อเมริกา บอกใครต่อใครก็ไม่มีใครรู้จักว่าประเทศไทยอยู่ตรงไหน เราอาจจะมองว่าเราเป็นประเทศที่ใหญ่ แต่การรับรู้ต่อสังคมโลก โดยเฉพาะเมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น

เลยมีความคิดว่าทำอย่างไรให้คนรู้ว่า ไทยแลนด์เป็นอย่างไร ก็เลยเอาวัฒนธรรมไทยมานำเสนอให้เขาเห็นทุกๆ อย่าง  ทำอาหารไทย ทำอะไรที่เราคิดว่ามันแสดงถึงความเป็นไทย และเมื่อตอนนั้นเองที่ทำให้ผมตระหนักได้ว่าจริงๆ แล้ว 2 สถาบันที่เราให้เราเป็นคนไทยจริงๆ เป็นพลังชีวิตของคนไทย คือ วัด กับ วัง ทั้ง 2 สถาบัน

ดนัย จันทร์เจ้าฉาย

วัด…พระพุทธศาสนา

เมื่อตอนเราอยู่อเมริกานั้น ที่นั้นไม่มีใครเป็นพุทธ  เวลาที่เราพูดถึงศาสนาพุทธ สิ่งที่ยิ่งใหญ่เลยคือ ทุกอย่างพิสูจน์ได้ สุดท้ายเราพูดอะไรออกมา ทุกคนก็อ้าปากค้าง ผมก็ไปพูดให้เขาฟัง บรรยายให้เขาฟังในหลายๆ มิติ แล้วสิ่งที่บอกว่าเท่ห์ที่สุดเลยคือ ทั้งหมดที่เราพูดออกไป ผู้ฟังไม่ต้องเชื่อ

ศาสนาทุกศาสนาดีหมด แต่มีศาสนาเดียวที่บอกว่า ไม่จำเป็นต้องเชื่อ จนกว่าจะได้พิสูจน์ด้วยตัวเองว่าเป็นเช่นนั้นจริง เพื่อนทุกคนที่ได้ฟังตกใจหมด มีด้วยเหรอ ศาสนาแบบนี้ This a new age religion เป็นศาสนาที่อัลเบิร์ต อัลสไตน์พูดไว้เมื่อร้อยปีที่แล้วว่า ถ้าชาติหน้ามีจริง แล้วเขากลับมาได้ เขาขอเป็นพุทธ พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เป็น Cosmopolitan  ศาสนาของผู้มีปัญญาในอนาคตกาลในขณะเดียวกันเราก็เป็นแค่เด็กอายุ 17 ก็มาคิดว่า ทำไมพระพุทธเจ้ายิ่งใหญ่ขนาดนี้ ก็ทึ่งมาก ศรัทธามาก เราก็เลยรู้ว่าเรามีของดีอยู่กับตัวเอง ไม่ว่าจะบรรยายให้กับคน Noble Soceity หรือระดับ Executive เขาก็ต่างตกใจว่ามีด้วยหรือแบบนี้ เพราะทุกๆ ศาสนาจะบอกว่าต้องเชื่อ ต้องศรัทธา และไม่มีข้อกังขาใดๆ

แต่ศาสนาพุทธจะบอกเสมอว่า ให้ถาม ให้สังเกต ให้รู้ด้วยตัวเอง นี่ก็เลยเป็นสิ่งที่ทำให้สนใจมากๆ แล้วก็เป็นประโยชน์กับตัวเองในปัจจุบันนี้ด้วย เพราะเมื่อโตขึ้นผมก็นำเอาพระพุทธศาสนามาปรับใช้ในองค์กรและชีวิตประจำวัน เราหลอมรวมเอาทางโลก คือการประกอบอาชีพ ทำธุรกิจต่างๆ มารวมกับทางธรรม เมื่อมันหลอมรวมให้เป็นหนึ่งเดียวแล้ว มันก็เกิดความมหัศจรรย์ขึ้นมาว่าเราได้กลายเป็นคนที่มีความสุข ผมเริ่มจากตัวผมและบริษัทผมก่อน ซึ่งก็ทำให้เรากลายเป็นองค์กรเล็กๆ ที่มีความสุข และประสบความสำเร็จและเป็นแสงสว่างเล็กๆ ที่ส่องอยู่ในสังคมไทยเราด้วยครับ

“ชีวิตมันไม่ใช่เป็นการกอบโกยเอาเข้ามาอย่างเดียว มันจะต้องคืนอะไรกลับสู่ผืนแผ่นดินไปบ้าง และไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนทุกคนสามารถที่จะตอบแทนผืนแผ่นดินแม่ได้ทุกคน”.

ดนัย บรรยายที่วัดไทย

วัง…สถาบันพระมหากษัตริย์

ก็ต้องย้อนไปตอนอายุ 17 ที่ไปบอกเพื่อนอเมริกันว่าประเทศไทยเรามีพระมหากษัตริย์ ในความคิด จินตนาการของคนที่ไมมีพระมหากษัตริย์เนี่ย แน่นอนว่า ต้องนึกถึงความเป็น King บุคคลที่อยู่อย่างสะดวกสบาย หรูหรา ชีวิตมีครบทุกอย่าง ดีที่สุด  นั่นคือความเป็น King ในสายตาคนอื่นทั่วโลก แล้วเราก็เอาภาพพระมหากษัตริย์ของเรา เอาความจริงมาเผยแพร่ให้เขาเห็น ทุกคนตกใจ ถามเราว่า นี่คือ King จริงๆ เหรอ ทำไมมาเดินอยู่ป่าเขาลำเนาไพร เหงื่อไหลไคลย้อยแบบนี้ ทำไมนั่งกับพื้นดิน  แล้วทำไมคนที่เข้าเฝ้าทำไมเป็นชาวบ้านธรรมดาๆ ทำไม King ไม่อยู่ในสถานที่หรูหราๆ แบบในพระราชวังอื่นๆ ที่มีขบวนแห่ยิ่งใหญ่อลังการ หรือในห้องนอนห้องบรรทมทุกอย่าง เป็นทองเป็นของมีค่าอะไรแบบนั้นล่ะ

ผมก็แค่เอาภาพความจริงมานำเสนอให้เขาดู แล้วเมื่อมีโอกาสกลับเมืองไทย ผมก็พาเพื่อนเหล่านั้นไปชมพระราชวังสวนจิตรลดา ทุกคนตกใจ ขนลุกหมดเลย ถามย้ำอยู่ตลอดเวลาว่า Is this your king? ผมก็ตอบด้วยความภาคภูมิใจตั้งแต่เป็นเด็กอายุ 17 แล้วว่า Yes, this is my King. ผมรู้สึกดีใจเหลือเกินว่า คนในโลกนี้อีก 6,900 ล้านคน ไม่ได้มีบุญอย่างเราที่เราเกิดมาใต้ร่มพระบารมีแบบนี้

ภาพถ่ายที่วัดกับคุณดนัย

รางวัลที่ภูมิใจที่สุด

ดนัย จันทร์เจ้าฉาย ได้รางวัลมาเยอะมากครับ ได้มาเกือบทุกเดือน ล่าสุดก็มาจากกระทรวงวัฒนธรรม แต่รู้ไหมครับ รางวัลที่ผมภูมิใจที่สุด ผมได้เมื่อตอนอายุ 17 คือ การได้เกิดเป็นคนไทยในแผ่นดินรัชกาลที่ 9 เพราะว่าเรารู้ตัวว่าเราโชคดีกว่าใครในโลกอีกหลายๆ คน ที่เขาไม่ได้เกิดมาอย่างผม ไม่ได้เห็นความงดงามของมหาบุรุษผู้หนึ่งที่ได้เกิดขึ้นในยุคนี้

ในผืนแผ่นดินนี้ ประเด็นที่สำคัญก็คือว่า คนทั่วโลกน่ะยกย่อง เชิดชูเกียรติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราอย่างที่สุดเลย แต่ทำไมเราเป็นคนไทย เราอยู่ใกล้ แต่เราทำตัวเหมือนอยู่ไกลครับ ปีนี้สหประชาชาติจะประกาศวันสำคัญของโลก วันที่ 5 ธันวาคม เป็นวันดินโลก เพื่อเทิดพระเกียรติในหลวงของเรา ซึ่งผมได้ติดตามมาโดยตลอด ก็ได้ทราบว่าเขามีการเสนอเรื่องขึ้นไปเรื่อยๆ

แสดงให้เห็นว่าในประวัติศาสตร์โลกเนี่ยไม่มีบุคคลใดในโลกที่จะดูแลดิน น้ำ ลม ไฟ เหมือนในหลวงของพวกเรา โดยเฉพาะในตอนนี้ที่โลกของเรากำลังประสบปัญหาอยู่ในขณะนี้ แล้วทำไมเราเป็นคนไทย อยู่เมืองไทย ทำไมเราไม่เคยมองเห็น เราได้ยิน แต่ไม่เคยได้ฟัง อย่างที่พระองค์รับสั่ง หรือทรงสอนพวกเรา และตอนนี้ผมได้ทำโครงการทำดีที่พ่อทำ เราก็ใช้สื่อทุกประเภทเข้าไปสื่อสารกับเยาวชนคนรุ่นไหม่ รวมถึงคนไทยที่อาจจะหลงลืมไปแล้วว่าเราโชคดีอย่างไร

ผมทำหลายอย่างทั้งหนังสือ เสียงอ่านสำหรับคนตาบอด สื่อทีวี เว็บไซต์ เดินสายบรรยาย ซึ่งทุกอย่างนี้ผมทำจากหัวใจผม แล้วก็มีความสุขมาก แม้แต่เดินสายบรรยายในจังหวัดสามชายแดนภาคใต้ก็ไป ซึ่งคนก็ถามผมว่า ผมไม่กลัวเหรอ เราเกิดมาถ้ากลัวก็ต้องกลัวทั้งชีวิต กลัวทำไมเราเป็นคนไทย ถ้าเราทำหน้าที่ของการเป็นคนไทย ก็ไม่เห็นต้องกลัวอะไร เราเกิดมาแล้วก็ไม่ควรให้เสียชาติเกิด ชีวิตมันไม่ใช่เป็นการกอบโกยเอาเข้ามาอย่างเดียว มันจะต้องคืนอะไรกลับสู่ผืนแผ่นดินไปบ้าง และไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนทุกคนสามารถที่จะตอบแทนผืนแผ่นดินแม่ได้ทุกคน

คนเราถ้ารู้จักตัวเองว่าเราเป็นใคร เราจะมีพลัง เพราะฉะนั้น จำไว้เสมอว่าลืมอะไรก็ลืมได้ แต่อย่าลืมว่าเราเป็นใคร อย่าลืมตัวเอง รู้จักอะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการรู้จักตัวเองว่าเราเป็นใคร เกิดมาเพื่ออะไร แล้วเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ของเราคืออะไร มันเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนนะที่จะทำให้ประเทศไทยน่าอยู่มากยิ่งขึ้น

ดนัย จันทร์เจ้าฉาย

วิธีการมองโลกในแง่บวก

ประการแรกเลย ชีวิตเรานั้นเป็น Freedom of Choice เรามีสิทธิเลือกในแต่ละสถานการณ์ เราเลือกได้เองว่าเราเลือกจะเป็นโคลนตมหรือดอกบัว หรือเลือกที่จะเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา หรือเลือกที่จะเรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้น ถ้าเรามีความคิดแบบนี้ อะไรก็ตามร้าย หรือดี ที่จะเกิดขึ้น ทุกอย่างจะผ่านไป แล้วก็ต้องบอกว่าชีวิตมันสั้นเกินกว่าที่จะเป็นทุกข์ และอยู่กับเรื่องไร้สาระ และถ้าทุกจังหวะการเต้นของหัวใจเราเป็นไปเพื่อความสุขและประโยชน์ของผู้อื่น ผมรับรองเลยว่าชีวิตของเราจะไม่มีวันเครียด วันทุกข์ วันเศร้า วันป่วยเลย และเมื่อใดที่เราทุกข์ เราเครียด เราเศร้า สังเกตนะ เพราะตัวเราเองทั้งนั้นเลย มันเป็นเพราะอัตตา กิเลสของตัวเอง  แต่เมื่อเราลองเปลี่ยนโลกทัศน์ใหม่สิครับ ชีวิตนี้มันจะไม่มีเวลาป่วย ทุกข์ เศร้า เครียด กับเรื่องไร้สาระพวกนี้เลย เราต้องดูแลร่างกายจิตใจของเราให้ดีทั้งชีวิตและจิตใจเพื่อเป็นประโยชน์กับคนอื่น  ประโยคหนึ่งอยู่กับตัวผมตลอดเวลาคือ หัวใจผมเป็นสุข ทุกครั้งที่มันเต้นเพื่อคนอื่น เมื่อหัวใจเราเต้นเพื่อผู้อื่น ผมเลยมีชีวิตที่มีพลัง และยังมีอีกหลายชีวิตเป็นหลักร้อย หลักพัน หลักแสนที่เราจะเพิ่มคุณค่าให้กับชีวิตของเขาเหล่านั้นได้ แล้วมันจะเศร้าทำไม เครียดทำไมครับ

Related Articles