บทบาทหลากหลาย ของคำว่า แม่ ซึ่งนับว่าเป็นโอกาสพิเศษอีกหนึ่งครั้งให้เราระลึกถึงพระคุณอันยิ่งใหญ่ของ”แม่” เป็นพิเศษในโอกาสนี้ขอนำเสนอเกี่ยวกับบทบาทคุณแม่ในสถานะต่างๆกัน
คุณฐิติกร เย็นทรวง
คุณแม่ภรรยานักการเมือง

มีลูกสาวสองคนค่ะ เป็นเด็กดีและน่ารักทั้งคู่ ลูกสาวคนโต “ถั่ว” (ภูษา กรรณิการ์) เป็นวัยรุ่นอายุ 15 ปี คนนี้เค้าเกิดตอนพ่อเค้า (นายวัชระ กรรณิการ์) เป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์ “ถั่วพู” เลยออกจะดูแนวศิลปินหน่อยๆ คือ อ่อนไหวง่าย ขี้อ้อน อยากให้ทุกคนสนใจ และเก็บทุกเรื่องมาเป็นประเด็นได้
สำหรับคนนี้ ณ เวลานี้ เราจะดูแลเค้าเหมือนเป็นเพื่อนเค้ามากกว่า ถั่วพูจะคุยให้ฟังทุกเรื่องที่โรงเรียน เราจะรู้จักชื่อเพื่อนลูกทุกคนที่เค้ามาเล่าให้ฟัง เป็นที่ปรึกษาลูกทั้งเรื่องเรียน เรื่องเพื่อน ช่วยคิดวิธีง้อเพื่อนเวลาเค้ากับเพื่อนทะเลาะกัน ทำให้เราสนิทกันมาก จนเค้าบอกว่าอยากให้ไปเรียนที่โรงเรียนเป็นเพื่อนกับเค้าด้วย (หัวเราะ)
ปีนี้น้องเค้าเพิ่งสอบเข้าเรียนสายศิลป์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่สี่ ที่โรงเรียนสามเสนวิทยาลัยได้ ซึ่งเป็นโรงเรียนดีที่สุดอันดับ 4 ของประเทศ ช่วงนี้เลยเครียดกับการปรับตัวเรื่อง โรงเรียนใหม่ เพื่อนใหม่ และเครียดกลัวเรียนไม่ทันเพื่อน ซึ่งมีแต่เด็กเรียนเก่งและคุยกันแต่เรื่องเรียนกันตลอดเวลา เค้าไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน เราเองก็เพิ่งจะเคยเห็นถั่วพูเครียดร้องไห้เวลาสอบ เพราะกลัวทำข้อสอบวิชาที่ไม่ถนัดไม่ได้ที่โรงเรียนนี้ ใจหนึ่งก็สงสารอีกใจหนึ่งก็แอบดีใจเล็กๆ ว่าลูกเรามีความรับผิดชอบ เลยบอกเค้าว่า
เรียนไม่ต้องเก่งที่สุดในห้องหรือในโรงเรียนหรอก แต่เอาที่เรียนแล้วหนูมีความสุขก็พอ จะตกบ้างซ่อมบ้างกับวิชาที่ไม่ถนัดก็ไม่เป็นไร แต่วิชาที่เราถนัดก็ทำให้ได้เยอะๆ จะได้เฉลี่ยๆ กันไป และจะได้ไม่รู้สึกทุกข์ใจหรือเกลียดกลัววิชานั้น เค้าก็ดูโอเคและปล่อยวางขึ้น เพราะวิชาอื่นๆเค้าทำได้ดี นอกจากเรียนแล้วเราก็แนะนำให้เค้าทำกิจกรรมอย่างอื่นด้วย อย่าไปคร่ำเคร่งกับการเรียนอย่างเดียว จะได้ผ่อนคลายและมีสังคมที่หลากหลายมากขึ้น ตอนนี้เค้าเลยลงเชียร์ลีดเดอร์กีฬาสีด้วย
ส่วนลูกสาวคนเล็ก “จ๋า” (ภาษา กรรณิการ์) ตอนนี้เพิ่งจะ 8 ขวบ แต่คนนี้เค้าเกิดช่วงที่พ่อเค้าก้าวเข้าสู่แวดวงการเมือง จ๋าเลยเป็นลูกนักการเมือง เลยคนละคาแรคเตอร์กับถั่วพูเลย จ๋าจะเป็นเด็กชิลล์มาก ยิ้มง่าย เข้มแข็ง ล้มไม่เคยร้อง ไม่สนใจแผลด้วย และเข้ากับคนได้ง่ายมาก ตรงข้ามกับถั่วพูมาก คนนี้เราปล่อยเค้าได้เลย การบ้านทำเอง อาบน้ำเอง และทำเองอีกหลายอย่างที่เราไม่คิดว่าจะทำเองได้ตั้งแต่ตอนเป็นเด็กเล็กๆ เลี้ยงง่ายมาก เค้าอยากทำอะไรเรามีหน้าที่จัดหาให้อย่างเดียว
ตอนอนุบาล 3 เค้าได้รับเลือกจากในห้องให้ลงสมัครประธานนักเรียนระดับปฐมวัย จับสลากได้เบอร์ 4 เดินปราศรัยหาเสียงทุกวัน เดินไปไหนมีแต่น้องๆ เรียก พี่จ๋าๆ กันสนั่นเป็นตัวเต็งเลยทีเดียว แต่ปรากฏว่าผลการเลือกตั้งได้เป็นรองประธานนักเรียน คะแนนห่างจากประธานแค่ 20 คะแนน ถือเป็นคะแนนรองประธานที่สูงเป็นประวัติการณ์ สืบเนื่องจากว่าประธานนั้นจับสลากได้เบอร์ 1 และทุกปีคนที่ได้เบอร์ 1 จะได้เป็นประธานตลอด เพราะน้องเล็กๆ เด็กอนุบาลนั้นจะรู้จักแต่เลข 1 อย่างเดียว เข้าคูหาเลยกาเบอร์ 1 อย่างเดียวเช่นกัน (หัวเราะ) ซึ่งหลังจากปีที่จ๋าลงเลือกตั้งและผลคะแนนเป็นเช่นนั้น ทางโรงเรียนก็เปลี่ยนการจับเบอร์ใหม่โดยไม่มีเบอร์ 1 อีกต่อไป (หัวเราะ)

สรุปคือเลี้ยงง่ายทั้งคู่ แต่เรื่องที่จะให้เราจะให้ความสำคัญมากหน่อย คือเรื่องความรับผิดชอบของแต่ละคน พยายามสอนเค้าให้รู้จักการดูแลรับผิดชอบตัวเอง โดยที่เราไม่ต้องคอยบอก เช่น กลับบ้านแล้วต้องทำการบ้าน เวลาไหนที่ต้องอาบน้ำ เวลาไหนที่ต้องอ่านหนังสือ และเวลาไหนที่ต้องนอนแล้ว เพราะจะได้ติดตัวเค้าไปจนโตทั้งสองคนในเรื่องของการบริหารเวลา และความรับผิดชอบ
ตั้งความหวังกับลูกมากน้อยแค่ไหน
คิดว่าแม่ทุกคนอยากเห็นลูกประสบความสำเร็จและมีความสุข เราเองก็เป็นหนึ่งในนั้นคือตั้งความหวังไว้ว่าจะเห็นลูกเราเป็นคนดี เรียนเก่ง และมีความสุข แต่เราไม่คาดหวัง เพราะอนาคตไม่มีใครรู้ เราแค่คอยสนับสนุนเค้า คอยแนะนำและผลักดันในสิ่งที่เราเห็นว่าเค้าน่าจะทำได้ แต่ไม่บังคับถ้าไม่ชอบ ความชอบของเด็กเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละช่วงวัยคนเป็นแม่จะทราบดี
เมื่อตอนเล็กๆ ถั่วพูอยากเป็นพิธีกรโทรทัศน์เหมือนคุณพ่อเค้า โตมาหน่อยอยากเป็นหมอฟัน ตอนนี้เรียนสายศิลป์อยากเป็นทูตซะแล้ว ส่วนจ๋าตอนเด็กกว่านี้บอกอยากเป็นหมอ แต่ตอนนี้อยากเป็นนักคาราเต้ เพราะมีฮีโร่ในดวงใจเป็นพระเอกในหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นชื่อ “โคทาโร่” (หัวเราะ) เราแค่ต้องตามเค้าให้ทันและคอยชี้ทางให้เค้าว่าที่เค้าอยากเป็นนั่นอยากเป็นนี่นั้น เค้าต้องทำอย่างไรและไปทางไหนเพื่อจะไปให้ถึงสิ่งที่เค้าอยากเป็น แล้วมารอลุ้นกันว่าเค้าจะเป็นได้ตามนั้นหรือเปล่า

ทำอย่างไร ถ้าลูกทำผิด หรือไม่ได้ดั่งใจ
เรายังไม่เคยไม่ได้ดั่งใจกับลูกของเราเลยนะ เรื่องโกรธหรือหงุดหงิดมีบ้างอยู่แล้ว เพราะเราเลี้ยงลูกเองทั้งสองคน ก็ต้องมีเหนื่อยมีขัดใจกันบ้าง แต่เป็นเรื่องหยุมหยิมทั้งนั้น เช่นพี่น้องทะเลาะกันมีหยิกมีตีกัน แล้วจบไม่ลงยืดเยื้อยาวนาน เคลียร์กันเองไม่ลง ก็ใช้วิธีตีทั้งคู่ค่ะ ยังเป็นคนไทยโบราณอยู่ค่ะ ที่คิดว่าไม่เรียวสร้างคนและสร้างชาติ โดยจะไม่ถามและไม่ฟังว่าใครเริ่มก่อนหรืออะไร…ยุติธรรมดี เพราะเวลาสองคนทะเลาะกันเราก็ได้ยินอยู่แล้วว่าเรื่องอะไร แต่ที่เค้าสองคนทะเลาะกันก็ไม่เห็นจะเป็นเรื่องอะไรรุนแรงมีแต่เรื่องเด็กๆ น่ะค่ะ ส่วนเรื่องอื่นๆ คิดไม่ออก ไม่มีนะ
อยากบอกอะไรกับคนอ่านในฐานะที่เป็นแม่ และฐานะลูก
ตั้งแต่มีลูกนี่รู้เลยนะว่าคนเป็นแม่นี่เหนื่อยมาก ยิ่งการเลี้ยงลูกในสมัยนี้ท่ามกลางสังคมที่ซับซ้อนและมีการแข่งขันกันสูง ผู้คนต้องดิ้นรนขวนขวายและเห็นแก่ตัวกันมากขึ้น คนเป็นแม่เราก็ยิ่งต้องเหนื่อยในการเตรียมลูกให้พร้อมและให้สามารถยืนหยัดอยู่ในสังคมและโลกใบนี้ได้อย่างดีและมีความสุข ขณะเดียว กันคนที่เป็นพ่อแม่ ก็ต้องตามโลกของลูกให้ทันด้วย
ในฐานะที่เป็นแม่เหมือนกันอยากบอกว่าให้คุณแม่ทุกคนสู้ๆ นะคะ ทำให้เค้ายิ้มเยอะๆ ยิ่งเค้ายิ้มให้เราได้เยอะเท่าไหร่ เรายิ่งมีความสุขและมีกำลังใจทำเพื่อเค้าต่อไปค่ะ ส่วนในฐานะลูกก็ต้องบอกว่ากอดคุณแม่กันให้เยอะๆ นะคะ ไม่ว่าเราจะโตแค่ไหนคุณแม่ของเราก็ยังมองเราเป็นลูกเล็กๆ ที่น่ารักของท่านตลอดเวลาค่ะ เราเองก็พยายามไปหาท่านบ่อยๆ คุยไลน์ด้วย โทรไปหาด้วย และพาหลานไปหาทุกสัปดาห์ ท่านจะได้ไม่เหงาและชุ่มชื่นใจเวลาเห็นหน้าลูกและหลานค่ะ
คุณพัชราณี แสนทวีสุข
คุณแม่ผู้เข้มแข็ง

ถึงตอนนี้ก็ 11 ปีแล้ว ที่ต้องดูแลลูกตามลำพัง เพราะคุณพ่อเขาจากเราไปตั้งแต่ลูกสาวอายุได้ 3 ขวบ ด้วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ตอนนี้ลูกสาวอายุ 14 ปี เรียนอยู่ ม.3 รู้สึกภูมิใจ และมีความสุขที่ได้ดูแลเห็นเขาเจริญเติบโตในแต่ละวัน นี่แหละคือกำลังใจสำคัญ พลังอันยิ่งใหญ่ที่คอยผลักดันให้เราลุกขึ้นสู้ในวันที่ท้อแท้ เข้มแข็ง และอดทนในวันที่เหนื่อยล้า แค่ได้มองหน้าเห็นรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ พูดคุย สิ่งเหล่านี้จะเหมือนพลังวิเศษที่จะช่วยให้เราก้าวผ่านอุปสรรคต่างๆ ที่เขามาได้
ถ้าถามว่าหนักใจมั้ย ที่ต้องรับบทบาททั้งพ่อและแม่ในเวลาเดียวกัน ยอมรับในช่วงปีสองปีแรกเครียดมาก เพราะต้องเจอกับสิ่งใหม่เข้ามาในชีวิตมากมาย ต้องจัดการทุกอย่างด้วยตัวเองในทุกๆเรื่อง รวมทั้งต้องจัดการกับสุขภาพจิตทั้งของตัวเอง และของลูกซึ่งมันแย่ด้วยกันทั้งคู่ ตอนแรกก็คิดว่าเด็กสามขวบยังเด็กก็คงยังไม่รู้เรื่องอะไรมากหรอก แต่ความจริงไม่ใช่ เขามีความคิด มีความเครียด เขารับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ในแบบฉบับของเขา จากความคิด และคำพูดที่ออกมา ต้องดูแลอย่างใกล้ชิดแล้วก็ผ่านมันมาได้
ด้วยเราสูญเสียคุณพ่อจากการเสียชีวิต ไม่ใช่การหย่าร้าง เลยไม่มีอะไรซับซ้อนในการทำความเข้าใจ เพียงแค่เราต้องใช้เวลาในการทำใจยอมรับ โชคดีที่ลูกเป็นเด็กที่เข้าใจอะไรง่าย เพราะเขาอยู่กับเราตลอดเวลา เห็นทุกอย่าง ผ่านทุกเรื่องมาพร้อมๆ กันทำให้เข้าใจถึงสถานการของครอบครัวดี และที่โชคดีที่สุดคือเราเป็นน้องเล็กที่มีพี่ๆ ในครอบครัวที่น่ารัก คอยดูแลเราและลูกของเราเป็นอย่างดี คอยช่วยเหลือและ ให้คำปรึกษาในทุกๆ เรื่องที่เรามีปัญหา คอยเป็นพี่เลี้ยงให้อยู่ห่างๆ ทำให้ทุกอย่างดูง่ายขึ้น

ในการดูแลลูกในแต่ละช่วงวัยจะแตกต่างกันออกไป ที่สำคัญเราคิดว่า เวลาความเข้าใจ และสภาพอารมณ์ของผู้เป็นแม่ เป็นสิ่งจำเป็นเพราะถ้าเราเอาอารมณ์ของเราไปลงที่ลูก เด็กจะรับสภาพที่มีผลต่อจิตใจทันทีเพราะฉะนั้นเราต้องมีสติ ควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้ดี และต้องมีเวลาได้ดูแลมีกิจกรรมร่วมกัน พูดคุยกันความต้องการในแต่ละช่วงวัยก็แตกต่าง
เด็กๆ ส่วนใหญ่เขาจะอยู่กับเรา ไปไหนกับเราตลอดเวลา พอเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นเริ่มมีโลกส่วนตัว มีสังคมเพื่อน ในการดูแลก็ต้องถอยออกมานิดหนึ่ง ต้องเข้าใจปรับตัวเองให้เข้ากับยุคสมัย บางอย่างเราก็ต้องทำตัวให้โตไปพร้อมๆ กัน เป็นเหมือนเพื่อน เหมือนพี่ มันจะทำให้เราคุยกับเขาได้ง่ายขึ้น ไม่งั้นเขาจะวิ่งไปหาเพื่อนอย่างเดียว แต่ถ้าเราสามารถคุยกับเขาได้ เขาก็จะคุยกับเรามากกว่าแทนที่จะคุยกับเพื่อนอย่างเดียว
สุดท้ายอยากฝากผู้อ่านว่า “ไม่ว่าจะเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว หรือมีครอบครัวที่สมบูรณ์ ขอเป็นกำลังใจให้เข้มแข็ง อดทน ที่สำคัญต้องมี สติ มีความรัก ความเข้าใจ มีเวลาในการดูแลลูก แน่นอนคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวต้องทำอะไรด้วยตัวเองมากกว่าคนอื่น แต่เวลาเพียงน้อยนิดที่คุณได้ดูแลเขา มีกิจกรรมร่วมกันก็มีค่ามากสำหรับเขาแล้ว อย่ามัวแต่ทำงานๆ หาสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อความสะดวกสบายของเขา เพราะแท้ที่จริงแล้วคุณคือสิ่งที่ดีที่สุดของเขา และเขาก็คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคุณเช่นกัน..
คุณพรสุดา พุดดี
แม่ผู้อดทน

การดำเนินชีวิตในแต่ละวันในบทบาทแม่ ผสมผสานทั้งความยากความง่าย ในแง่ของการเลี้ยงลูกตามสัญชาติญาน ความเป็นแม่ มีความรัก ห่วงใย เอื้ออาทรต่อลูกเป็นที่ตั้ง แต่ความยากในแง่ของการปลูกฝังจิตสำนึก ค่านิยมในการดำเนินชีวิต และจริยธรรมของความเป็นมนุษย์ ซึ่งคุณลักษณะต่างๆ เหล่านี้ คนเป็นแม่ ต้องเริ่มต้นที่ตนเอง เพราะเราเป็นผู้ที่เลี้ยงดู อบรมและอยู่ใกล้ชิด กับลูก (ในทำนองเดียวกันหากผู้อื่นเป็นผู้เลี้ยงดู) สิ่งที่เป็นตัวเรา จะสะท้อนออกมาจากผู้ที่เป็นลูก เหมือนกระจกเงา สะท้อนเงาของเรา นั่นเอง
วิธีให้กำลังใจตนเองในการดำเนินชีวิตคือการระลึกถึงความสอนของพระพุทธเจ้า และองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในเรื่องของการประกอบกรรมดี การตั้งใจเลี้ยงดูลูก อบรมสั่งสอน ปลูกจิตสำนึกและศีลธรรม เน้นย้ำในเรื่องคุณงามความดี ถือว่าเป็นการทำกรรมดี เมื่อเราทำกรรมดี เราย่อมได้พบแต่สิ่งที่ดีเช่นกัน
การตั้งใจเลี้ยงลูกให้เป็นคนดี มีศักยภาพ นับได้ว่าเป็นการช่วยเหลือประเทศชาติ เพราะเราผลิตบุคคลากรที่มีคุณภาพให้ชาติวันข้างหน้า ผลผลิตของเราจะเป็นกำลังในการพัฒนาประเทศให้เจริญหน้า ในสายงานที่เกี่ยวข้องกับชีวิตเขา คล้ายกับการปิดทองหลังพระ ไม่มีใครรู้ แต่เรารู้อยู่กับใจของเราเอง เราจึงควรทำทุกๆ วัน ให้ดีที่สุด เท่าที่จะทำได้ ในยามที่สามีไปทำงานไกลๆ ยอมรับว่ามีความหนักใจมาก เพราะมีทั้งลูกสาว และลูกชาย อีกทั้งไม่มีญาติพี่น้องใกล้ชิดในการเป็นแบบอย่างที่ดีให้ลูกโดยเฉพาะลูกชาย

วิธีในการรับมือกับลูกที่กำลังเข้าวัยรุ่น ก็โดยพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้ปกครองที่รู้จักกัน และหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องของการเลี้ยงลูกในช่วงวัยต่างๆ จากหนังสือ และช่องทางการให้ความรู้เรื่องจิตวิทยาเด็ก จากโซเชียลมีเดีย มาเป็นแนวทางในการรับมือกับปัญหาต่างๆ พยายามเข้าใจพฤติกรรมเด็ก ให้มากที่สุด พยายามปลูกฝังทัศนคติในการดำเนินชีวิต ให้อยู่ในทางสายกลาง ไม่มากไป ไม่น้อยไป พยายามรู้จักกับเพื่อนของลูกและผู้ปกครองของเพื่อนลูก เพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการสอดส่องดูแลลูก
อยากบอกกับผู้อ่าน ทั้งคนเลี้ยงลูกแบบมีผู้ช่วย และแบบไม่มีตัวช่วยเลย ลำดับแรกของการเลี้ยงลูกให้ไปในแนวทางที่ถูก ที่ควร เป็นคนดี มีศีลธรรม ความประพฤติเหมาะสม คือเราต้องเริ่มต้นที่ตัวเราผู้ซึ่งเป็นแม่พิมพ์ เป็นเบ้าหลอมของลูก คำพูด การกระทำใดที่เราต้องการให้เป็นนิสัยของลูก ควรเริ่มต้นจากตัวเราเป็นผู้ทำให้เป็นแบบอย่าง บนเส้นทางของความเหนื่อยยาก
“การดูแลลูกนั้น เราให้ความรักกับเขาได้ แต่อย่าได้คาดหวังอะไรมากจากเขา เพราะทุกคนมีเส้นทางชีวิตของตนเอง แบบที่เขาเป็นคนเลือกเอง และเราเลือกให้เขาไม่ได้”
สิ่งที่จะทำให้เราผ่านไปในแต่ละวันได้คือความคิดในเชิงบวก ที่เราต้องมีให้แก่ตนเอง ทัศนคติที่ดีในการเลี้ยงลูก การให้กำลังใจตนเอง เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด การตระหนักในคุณค่าของตัวเอง และคุณค่าของสิ่งที่เราทำ เป็นสิ่งที่เราต้องย้ำ ให้ตัวเรามากที่สุด เพื่อเป็นกำบังใจให้เราก้าวข้ามช่วงเวลาที่ยากลำบากของการเลี้ยงลูกในแต่ละช่วงวัย อย่างสวยงาม และภาคภูมิ
คุณแก้วตา เรืองเดช
แม่ผู้เด็ดเดี่ยว

นักธุรกิจหญิงเจ้าของร้านบำบัดแก้อาการ ชื่อร้าน Tewa Raksa ”เทวารักษ์ษา หรือพี่พัช ได้เล่าให้ฟังถึง ช่วงชีวิตของการทำงาน ที่ไทยว่า “เริ่มมีธุรกิจเป็นของตัวเองตั้งแต่ อายุ 16 ปี ซึ่งเป็นเจ้าของกิจการ ร้านเสริมความงาม ก่อนที่จะย้ายมาทำงานที่ซิดนีย์ ได้หย่าร้างกับอดีตสามีตั้งแต่ลูกชาย อายุ 2 ขวบครึ่ง สาเหตุของการหย่าร้าง เกิดจากความไม่เข้าใจ จึงต้องยอมยกลูกให้ทางอดีตสามีและอาม่า เลี้ยงดู เพราะเป็นหลานชายคนแรกของคนจีน และย้ายมายู่ตึกแถวที่เปิดเป็นร้านธุรกิจคนเดียว
ความรู้สึกของพี่ ณ เวลานั้นไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้ รู้เพียงแต่ว่ามันรู้สึกเจ็บลึกๆ ในใจ ไม่ได้กอดลูกให้แน่นๆ ทุกวัน และบอกรักลูกก่อนนอน ว่าแม่รักลูกเท่าชีวิตทุกวัน พี่จะไปรับลูกมาดูแลที่บ้านพี่เฉพาะวันศุกร์-เสาร์และอาทิตย์ก็พาไปส่งที่บ้านอาม่า ส่วนวันธรรมดา พี่จะจ้างพี่เลี้ยง ดูแลลูก สำหรับค่าใช้จ่าย พี่รับผิดชอบจ่ายทุกอย่างตั้งแต่เรียนอนุบาลที่โรงเรียนวัดสุทิวราราม จนถึงมัธยมศึกษาปี่ที่ 6 ลูกเรียนหนังสือเก่งจึงได้เป็นเด็กนักเรียนทุนมาตลอด จนเรียนจบการศึกษา
เนื่องในวันแม่ที่ทางโรงเรียน จัดขึ้นประจำทุกๆ ปี ทางโรงเรียนจะให้ลูกพี่ถือพานมาลัยมาไหว้พี่ พี่จะถามว่าลูกอยากจะขออะไรจากแม่ ลูกตอบพี่ว่า ผมไม่อยากให้แม่มีป๋าคนใหม่ และพี่ก็ถามลูกอีกว่า แล้วลูกจะให้อะไรแม่ ลูกตอบพี่ว่า ผมจะตั้งใจเรียนหนังสือเก่งๆ พอจบผมจะเลี้ยงแม่เอง
หลังจากลูกเรียนจบ มัธยมศึกษาปีที่ 6 ลูกก็ได้โควต้า เรียนต่อ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาตร์ สาขาบัญชี แต่ไม่ชอบเรียนตัวเลขจึงปฏิเสธโควต้านั้นไป แล้วมาสอบเอนทรานต์ใหม่ติดคณะ IT มหาลัยมหิดลศาลายา ภาคอินเตอร์ สำหรับวันแม่ในวัยเรียนมหาลัย ลูกบอกกับพี่ว่า แม่เหนื่อยก่อนนะ ส่งผมเรียนหนังสือก่อน ถ้าผมเรียนหนังสือจบแล้ว ผมจะดูแลแม่เอง พอปิดเทอมใหญ่ 3 เดือน เขาขอบวชแต่พี่บอกลูกว่าแม่ไม่ได้ไปนะ เพราะมีงานต้องรับผิดชอบ ลูกพี่บอกไม่จำเป็นว่าแม่จะมาไม่มา อยู่ที่ผมจะถือศีลให้ครบ 227 ข้อ ไม่ให้ขาด

ซึ่งเป็นความรู้สึกปลื้มใจของคนเป็นแม่ หลังจากลูกเรียนหนังสือจบและวันรับปริญญา พี่ก็ไม่ได้กลับไปอีก มีลูกค้ากลับไทยไปงานรับปริญญาของน้องสาว ที่มหาลัยเดียวกันนี้ พี่ก็เลยฝากเงินไปซื้อช่อดอกไม้ให้ ไปมอบให้กับลูกชาย แต่ลูกชายก็บอกว่า แม่ไม่ต้องมาก็ได้ แค่งานวันรับปริญญา แต่พี่ก็ดีใจที่ได้ส่งเรือลำนี้ถึงฝั่งแล้ว ลูกได้งานทำโดยผ่านการคัดเลือกจากบริษัทที่เข้ามาติดต่อ ทางมหาลัยแล้ว
หลังจากจบจากงานรับปริญญาผ่านไปไม่นาน พี่ก็ทำเรื่องให้ลูกชายมาเยี่ยมที่ซิดนีย์ พี่มีความรู้สึกดีใจที่ ลูกชายหอบชุดครุยมาให้พี่ดูว่าเค้าได้ทำให้แม่แล้วนะ แล้วลูกก็มีพร้อมทุกอย่างและก็ได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับพี่ พี่จะสอนลูกเสมอ ว่าถ้าผู้หญิงคนใหนที่เหมาะสมที่จะมาเป็นแม่ของลูก ก็ให้ดูเอาเอง เพราะต้องอยู่ด้วยกันตลอดชีวิต และทุกวันนี้ เราอยู่ในยุคเทคโนโลยีที่ทันสมัย พี่ก็พูดคุยกับลูก ผ่านระบบโทรศัพท์ที่คุยห็นหน้ากัน และใช้ Line คุยกันเกือบจะทุกวัน
ณ ปัจจุบันนี้ลูกชาย กำลังเรียนต่อปริญญาโท และทำงานอยู่ที่ IBM Thailand co, Ltd. ในตำแหน่ง Senior Technical Specialist พี่ก็อยากจะกล่าวทิ้งท้ายถึง บทบาทหลากหลาย ของคำว่า แม่ คุณแม่ทุกท่านที่ต้องมาทำงานอยู่ต่างแดนและต้องห่างจากลูกที่อยู่ไทยว่า ในความรู้สึกของคนเป็นแม่ ที่รู้ว่าตัวเองท้อง นับว่าเป็นข่าวดี และมีความสุขที่เห็นหน้าลูกหลังจากคลอด ว่าลูกมีอวัยวะครบ 32 ประการ จากนั้น ก็เรียนหนังสือ จบแล้วมีงานทำ บวชทดแทนบุญคุณพ่อแม่ มีความสำเร็จในหน้าที่การงานที่ทำ และท้ายสุด มีชีวิตครอบครัวที่ดี หลังจากแต่งงาน แต่คำว่าสายเลือดของแม่และลูกที่เค้าเรียกว่าค่าน้ำนม ก็ยังใช้คำนี้ได้อยู่”
คุณลักสุนีย์ จินานาง
แม่คือผู้ชี้นำทาง

การเลี้ยงลูกไมต่างจากแม่คนอื่นค่ะ เวลาเห็นอะไรที่ไมดีจะชี้ให้ดูให้รู้ทันทีให้เขาห็นผลเสียที่เกิดขึ้น แม้ว่ามีลูกชาย 2 คน ดิฉันก็จะบอกเสมอว่าต้องช่วยเหลืองานบ้าน เวลามีครอบครัวจะได้ช่วยกันได้เพราะต้องเหนื่อยเหมือนกัน และดิฉันเน้นที่สุดคือเรื่องยาเสพติด ห้ามเด็ดขาดแม้แต่จะคิดลอง หากลูกอยากมีชีวิตที่ดีก็สามารถเลือกได้
ถนนที่มีเราก็ต้องเดินตามเส้นทางอย่าออกนอกลู่ทาง หากนอกลู่เมื่อไหร่ก็เจ็บเมื่อนั้น ทุกคนต้องไม่มีความลับต่อกัน ที่สำคัญคือเรื่องประหยัด ให้ใช้จ่ายเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้นให้เขาช่วยพ่อแม่ทำงานเขาจะได้รู้ว่าเงินหายากและพ่อแม่เหนื่อย และสอนให้เรียนรู้ด้วยตัวเอง

การตั้งความหวังกับลูกแค่ให้เขาเลี้ยงตัวเองได้ มีครอบครัวที่อบอุ่น ช่วยเหลือสังคมตามกำลัง บำรุงพุทธศาสนา เดินตามรอยปู่ ย่า ตา ยายของเราก็พอแล้ว ถ้าลูกไม่ได้ดั่งใจเราต้องทำใจ เราดูแลเขาดีที่สุดแล้ว แต่การที่ไม่ได้ดั่งใจเราไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ดี จะตามใจเขา ให้เขาเรียนรู้ด้วยตัวเอง เราคอยแนะนำเท่านั้น
สุดท้ายนี้ขอฝากบอกผู้หญิงทุกคนว่า ทุกคนสามารถเป็นแม่ได้ บทบาทหลากหลาย ของคำว่า แม่ และการที่จะเป็นแม่ที่ดีไม่ยากเลย ถึงครอบครัวเราจะไม่ร่ำรวยแต่ถ้าลูกไม่ได้สร้างปัญหาให้สังคม เท่ากับว่าไม่ต้องห่วงอะไรอีกแล้ว
คุณพุทธวรรณ พุ่มสวัสดิ์
แม่คือผู้รับฟังที่ดี

จริงๆ แล้ว ก็ไม่เชิงเลี้ยงเดียว พ่อของลูก ก็ยังช่วยกันดูแลอยู่ ถึงแม้ว่า เราจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน เลยไม่รู้สึกว่า ลำบากอะไร ชีวิต chill chill สบายสบาย ไม่เคยคิดอะไรมาก การเลี้ยงลูกก็เลี้ยงเหมือนเพื่อน มีทำโทษบ้าง ตอนลูกดื้อ เคยตีลูกอยู่ครั้งหนึ่ง ตอนกลับบ้านผิดเวลาแล้วไม่บอก ดิฉันถามเขาว่าจะให้ตีกี่ครั้ง เขาตอบว่า 3 ครั้ง เมื่อตีไปครั้งแรก ลูกบอกพอแล้ว เพราะเจ็บมาก แต่ดิฉันก็คุยกับเขาด้วยเหตุผลว่าที่ทำโทษไป เพราะต้องการให้หลาบจำจริงๆ เขาก็เข้าใจ แต่ตอนที่ตีลูก จะไม่ตีตอนโกรธนะ ตั้งแต่นั้นมา ลูกก็ไม่เคยทำอีกเลย

ลูกเป็นเด็กยุคโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คจริงๆ ที่ไม่ค่อยสนใจคนรอบข้าง แต่ก็ยังดีที่ลูกยังรู้จักเล่นกีฬา ชอบเล่นฟุตบอลมาก ลูกมักจะมาคุยให้ฟังบ่อยๆ เกี่ยวกับฟุตบอล คนเป็นแม่ก็ต้องเป็นผู้ฟังที่ดี ให้เขารู้สึกว่าเราเป็นทั้งแม่และเป็นทั้งเพื่อน สามารถคุยได้ทุกเรื่อง
ทุกวันนี้ ลูกชายยังนอนกับแม่อยู่เลย ดิฉันก็ไม่เคยคาดหวังอะไรจากลูก คิดว่าแล้วแต่บุญของเรา และบุญของเขาก็แล้วกัน
สุดท้ายอยากฝากบอกแม่ๆ ทั้งหลายว่า บทบาทหลากหลาย การดูแลลูกนั้น เราให้ความรักกับเขาได้ แต่อย่าได้คาดหวังอะไรมากจากเขา เพราะทุกคนมีเส้นทางชีวิตของตนเอง แบบที่เขาเป็นคนเลือกเอง และเราเลือกให้เขาไม่ได้
