เราได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี พระนักเทศระดับต้นๆ ของประเทศ ธรรมะที่เราได้เรียนรู้ในครั้งนี้เป็นสิ่งที่เหมาะกับคนที่มีใช้ชีวิตอยู่ในประเทศออสเตรเลียเป็นอย่างยิ่ง

เป็นโอกาสดีเหลือเกินสำหรับทีมงานนิตยสารวีอาร์ไทย ที่ได้รับอนุญาติจากตัวท่านพระอาจารย์ ว. วชิรเมธี เอง และคุณวรวิทย์ ตาคำ กรรมการผู้จัดการใหญ่ศูนย์การศึกษาเอเดน ผู้จัดงานในครั้งนี้ ที่เปิดโอกาสให้พวก เราได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับ พระนักเทศระดับต้นๆของประเทศ ธรรมะที่เราได้เรียนรู้ในครั้งนี้ เป็นสิ่งที่เหมาะกับคนที่มีใช้ชีวิตอยู่ในประเทศออสเตรเลียเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นคำสอนที่เอาไว้เตือนสติเตือนใจ เมื่อเราต้องมาอยู่ต่างบ้านต่างเมืองแบบนี้ รวมทั้งมีเนื้อหาบางตอนที่พระอาจารย์ได้เทศนาไปในวันเสาร์ที่ 12 พฤษภาคมที่ผ่านมา ไว้เผื่อบางท่านที่ไม่มีโอกาสเข้าฟังธรรมในวันนั้น
มาซิดนีย์แล้วรู้สึกอย่างไรบ้างครับ
ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 แล้วที่ได้มาซิดนีย์ ครั้งแรกเมื่อประมาณ เจ็ดปีที่แล้ว มาทำบุญในโอกาสทำบุญวัดที่เมลเบิร์นแล้วก็ที่
บริสเบน ครั้งที่สองก็มาแสดงธรรม ครั้งนี้เป็นครั้งที่สามก็มาแสดงธรรม รู้สึกดีมากที่ญาติโยมให้การต้อนรับอย่างดียิ่ง ทำให้
รู้สึกว่ามาซิดนีย์ก็เหมือนมาเมืองไทย คืออบอุ่น สบายกาย สบายใจ มองไปทางไหนก็มีแต่คนที่มีน้ำใจงดงาม ประทับใจมาก

อยากทราบประวัติส่วนตัวของพระอาจารย์หน่อยครับ
พระอาจารย์เกิดในครอบครัวที่พ่อแม่เป็นชาวนา บ้านครึ่งใต้ ตำบลครึ่ง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ที่ได้มาบวชนี่เพราะ ว่าโยมแม่เป็นชาวพุทธ คำว่าชาวพุทธนี่คือเป็นทั้งชีวิตเลย ไปวัดทุกวันพระ จนกระทั่งได้รางวัลสตรีที่ไปวัดโดยไม่ขาดตลอด
พรรษา คือไปวัดจนได้รางวัลว่างั้น จนเจ้าอาวาสต้องให้รางวัล โยมแม่ของพระอาจารย์ชื่อแม่แสง นามสกุล บุญถึง เป็น
สตรีที่ไปวัดไม่ขาดเลยทุกวันพระ ตลอดหนึ่งพรรษา จริงๆ ท่านทำอย่างนี้ของท่านมาตั้งแต่ท่านมีศรัทธาในพระพุทธศาสนา
การที่แม่ไปวัดจนได้รางวัลมันก็บอกอะไรหลายอย่าง
ประการที่หนึ่งก็บอกได้ว่า ทำไมพระอาจารย์ถึงได้มาบวช เพราะว่าพระ อาจารย์ก็เป็นผู้ตามแม่ไปวัด ก็เลยเกิดศรัทธา เกิดการฝังจิตฝังใจว่า ถ้าเรียนจบ ฉันต้องบวช ดังนั้น พออยู่ ป.5-ป.6 ใน หัวของพระอาจารย์นี่มองไม่เห็นว่าจะไปไหนเลยนะ คือคิดอย่างเดียวว่าจะบวช เพื่อนๆ นี่เขาถามกันว่า ไปไหน ไปเรียน หมอ ไปไหน เข้ากรุงเทพฯ ไปไหน ไปเรียนต่อ ทุกคนมีโครงการจะไปเรียนต่อ แต่พอมาถามพระอาจารย์ ก็บอกว่า ฉันจะบวช เข็มไมล์หัวใจนี่ตั้งตรงไว้ว่าต้องบวช ดังนั้นพอจบ ป.6 แล้วก็บวชเลย

ได้เรียนทั้งทางโลกและทางธรรมพร้อมกันมั้ยครับ
โชคดีที่โรงเรียนวัดสอนทั้งธรรมะบาลี สอนทั้ง ม.1 ถึง ม.6 พระอาจารย์ก็เรียนทั้งสองโลกคู่กันมาตลอด พอเรียนจบมัธยม
ต้นก็มาเรียนในเมือง ที่วัดพระสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย โชคดีอีกแล้ว มาที่นี่ก็มาเจอวัดที่มีห้องสมุดอีก และหลัง
วัดก็มีห้องสมุดประชาชนจังหวัดเชียงราย พระอาจารย์ก็ชอบแอบออกจากวัดไปหมกตัวอยู่ในห้องสมุดคือ ไปอยู่กันเป็นวันๆ
ไม่กลับมาฉันเพลเลย เพราะออกจากวัดยากมาก ต้องขออนุญาติจากหลวงพ่อเจ้าอาวาส หรือไม่งั้นก็ต้องลักลอบออกไป
อ่านหนังสือ คือลักลอบออกจากวัดไม่ใช่ไปทำอะไรไม่ดีนะ แอบไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดประชาชนจังหวัดเชียงราย พระอาจารย์ก็หมดมุ่นอ่านหนังสือมาก อ่านมากขึ้นๆ วันหนึ่งมันก็บอกตัวเองว่า อ่านมาเยอะแล้วเขียนเถอะ ก็ลงมือเขียนเลยโดยที่ไม่รู้หลักการเขียนหนังสือคืออะไร ไม่รู้เหนือไม่รู้ใต้ เขียนเพื่อบำบัดตัวเอง เหมือนพ่อครัวที่อยากทำอาหารดีนักก็เข้าครัวทำ
เลย ไม่สนว่ามันถูกหลักถูกสูตรหรือเปล่า เขียนเสร็จก็เก็บไว้ไม่กล้าส่ง เขิน แต่ว่ารู้สึกดีนะที่ได้เอามันออกมาซะที มันประทุอยู่ข้างใน เหมือนไก่ที่มันอยากจะขันแล้วมีคนมาปิดปากมันไว้ไม ่ให้ขัน เหมือนนกที่อยากจะร้องเพลงแล้วมีคนไม่ให้มันร้อง ดอกไม้ที่มันจะบานแล้วมีคนมาบอกว่าอย่าบาน เราอยากเขียน มันอึดอัดเวลาไม่ได้เขียน
วันหนึ่งตัดสินใจเขียน พอเขียนปุ๊บโล่ง แต่ไม่กล้าส่ง เขินก็เลยเก็บไว้ วันนึง หลานพระอาจารย์มาเยี่ยม มาเปิดลิ้นชักอ่าน นี่อะไรนี่หลวงน้า เราก็บอกนี่ต้นฉบับ เรื่องสั้น พอหลานของพระอาจารย์เอามาอ่าน บอกดีนี่ เอาไปส่งสำนักพิมพ์สิ พระอาจารย์บอกไม่ส่ง แต่หลานแอบเอาไปส่งสำนักพิมพ์ จนได้ตีพิมพ์ ลงในนิตยสารโลกทิพย์หรือโลกลี้ลับ ต่อมาก็เห็นชื่อตัวเองในปกหนังสือ อิ่มไปทั้งวันเลย แล้วเกิด ความเชื่อมั่นขึ้นมาว่า เราน่าจะเป็นนักเขียนได้ นั่นคือถนนของการเป็นนักเขียน มันก็เริ่มต้นจากตรงนั้น ทุกวันนี้ก็เลยได้มานั่งเขียนหนังสือ ตอนนี้เขียนได้ประมาณ 170-180 เล่ม แปลไปแล้วประมาณ10 ภาษา เป็นละครไปแล้ว 3-4 เรื่อง รวมทั้งเป็นคอลัมนิสต์ของนิตยสาร พระอาจารย์เคยเขียนคอลัมน์สูงสุดถึง 13 คอลัมน์ต่อเดือน

ได้มาออกตามรายการต่างๆ ได้อย่างไรครับ
พอเขียนหนังสือเยอะเนี่ย วันหนึ่งเมื่อเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ ก็ได้เขียนคอลัมน์ในนิตยสารชีวจิต แล้วก็เนชั่นสุดสัปดาห์ พอเขียนแล้วก็มีการรวมเล่ม พอรวมเล่มปุ๊บก็ปรากฏว่าหนังสือขายรวมเล ่มชุดแรกชุดธรรมะติดปีกนี่ได้รับความนิยมมาก 10,000 เล่ม
นี่ จำหน่ายไปอาทิตย์เดียวก็หมดแล้ว ก็เลยเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ธรรมะอินเทรน คือคนรุ่นใหม่ ถ้าจะให้เท่ห์ต้องอ่านหนังสือธรรมะ ต่อมาช่อง 3 ก็ เอาไปออก ก็มาขอบทประพันธ์ไปทำละครเรื่องธรรมะ ติดปีก พอละครดังคนก็อยากเจอนักเขียน ก็เลยได้ไปออกทีวีกับเขา ยังจำได้ดีไปออกโทรทัศน์ครั้งแรกหน้าซีดอย่างกับไก่ต้ม ดูไม่จึดเลย เขินมาก แล้วหลังจาก
ไปออกโทรทัศน์ก็มีคนรู้จัก พอรู้จักปั๊บ ทั้งแฟนหนังสือแฟนละคร ก็อยากเจอตัวจริง ก็นิมนต์ไปเทศน์ ไปสอน ไปพูด ไปๆ มาๆ จากชีวิต
ที่ตั้งเป้าเอาไว้ว่าจะเขียนหนังสือเงียบๆ อยู่เบื้องหลังก็กลายเป็น มาอยู่เบื้องหน้า แล้วจากที่ตั้งใจไว้ว่าจะทำงานเขียนทำงานเทศ ทำงานสอนอยู่ในเมืองไทย ก็ได้รับนิมนต์ให้เดินทางไปทั่วโลก นึกถึงหนังสือรวมเล่มธรรมะติดปีก เออ
มันก็ทำให้เราติดปีกเนอะ ได้ไปนู่นมานี่จริงๆ ฉะนั้น ีวิตของพระอาจารย์อยากจะบอกว่า ถ้าไม่มีพระพุทธศาสนา ถ้าไม่หลงรักการอ่าน พระอาจารย์ก็คิดว่าวันนี้คงไม่มี ว.วชิรเมธี หรอก

บางคนบอกว่าสวดมนต์ สวดไปทำไม สวดไปก็ไม่รู้ความหมาย จริงๆ แล้วการสวดมนต์สอน อะไรเรา แล้วการสวดมนต์ได้บุญอย่างไรครับ
การสวดมนต์นี่ ถ้าสวดทั่วๆ ไปไม่รู้ความหมาย สวดบาลีไม่รู้ความหมาย เขาเรียกว่าสวดเอาบุญ คือในขณะที่เราสวด กายวาจาใจของเราอยู่ในบุญนะลูกนะ เราไม่ได้ทำอะไรเสียหาย มนต์ที่เราสวดก็เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ฉะนั้นถ้าเวลานั้น กายของเรา ใจของเราวาจาของเรา อยู่ในปริมณฑลของคุณงามความดี เราก็ได้บุญมาก ในแง่ของจิต จิตใจก็เป็นสมาธิ แต่ขณะ
เดียวกันถ้าใครสวดแล้ว แปลภาษาบาลีได้ด้วย
ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็มีสวดมนต์แปลเยอะแยะมากมาย พระอาจารย์เองก็ทำเก้ามนต์เพื่อความก้าวหน้าออกมา มีคำแปลบาลีแล้วก็ไทยคู่กันด้วย ทีนี้ถ้าใครสามารถสวดไปด้วยแปลไปด้วย สิ่งที่เขาจะได้รับคือปัญญา ฉะนั้นสวดมนต์นะ หนึ่งถ้าคุณไม่รู้คำแปลภาษาบาลี คุณได้บุญ คุณได้สมาธิ แต่ถ้าคุณรู้คำแปลภาษาบาลี คุณได้ปัญญามนต์แต่ละบท ไม่ใช่เรื่องลึกลับคุณวิเศษเวทไสย์ แต่แท้ที่จริงคือคำสอน เช่นมงคลสูตร ซึ่งเป็นพระสูตรฉบับฮาวทูของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น ว่าด้วย เคล็ดลับในการประสบความสำเร็จ 38 ข้อ เป็นบันได เป็นขั้นๆ เลยนะ ยิ่งกว่าหนังสือของ เดล คาร์เนกีอีก สุดยอดจริงๆเช่น
ถ้าเราสวดแล้วเราแปลออกนะ พระสูตรนี้จะบอกว่า อะไรคือมงคล เขาถามกันอยู่ 12 ปีไม่มีใครตอบได้ทั้งมนุษย์และเทวดา วันหนึ่งมีคนไปถามพระพุทธเจ้าว่าอะไรคือมงคล พระพุทธเจ้าก็ตอบว่า มงคลก็คือเหตุแห่งความสุขความเจริญ มงคลมีดังต่อไปนี้ หนึ่งไม่คบคนพาล สองสังสรรค์บัณฑิต บูชิตบูชนีย์ สี่อยู่ในที่อันสมควร ไม่คบคนพาลก็คืออย่าไปคบคนเลว คบบัณฑิตก็คือคบแต่ยอดคน บูชิตบูชนีย์ก็คือหาคนมาเป็นแบบอย่างที่ดีซะ อยู่ในที่อันสมควรก็คืออยู่ในที่ที่ทำเลทองอย่างคนไทยมาอยู่ซิดนีย์นี่ ไม่กี่ปีก็ตั้งตัวได้แล้ว เพราะที่นี่คือเมืองแห่งโอกาส หรือคนไทยไปอยู่อเมริกา เขาไม่ถามว่าคุณนามสกุลอะไร คุณจบอะไรมา แต่ถ้าคุณขยัน คุณตั้งตัวได้ นี่คือสิ่งที่เรียกกันว่าทำเลทอง
แค่ สี่ข้อนี้เองถ้าใครปฏิบัติได้นะ เจริญ พระพุทธเจ้าเรียกสิ่งนี้ว่ามงคล เห็นมั้ยถ้าคุณแปลออกอะไรจะเกิดขึ้นที่เราสวดๆ ทุกวันนี้นะ มันยอดทั้งนั้น ยอดคำสอนเพราะฉะนั้น ไม่เข้าใจ คุณได้บุญ แต่ถ้าคุณเข้าใจคุณได้ปัญญา บางคนบรรลุธรรมเลยนะ นี่แค่สี่ข้อยังชัดแจ๋วขนาดนี้ บทสวดมนต์หลายบททันสมัย อย่างมีบทหนึ่งนะ ถ้าใครสวดเป็นแล้วทำได้นะ ไม่ต้องไปฉีดโบท็อกซ์ ไม่ต้องใช้เดย์ครีม ไนท์ครีมนะ
บทที่ว่าด้วยภัทเทกรัตตสูตร สอนเราให้อยู่กับปัจจุบันขณะ ท่านบอกว่าอย่าคำนึงถึงความหลัง อย่าเฝ้าภวังค์แต่อนาคตจ่อจดอยู่กับปัจจุบัน ผิวพรรณจึงผ่องใส เห็นมั้ย อยากหน้าใส ให้อยู่กับปัจจุบัน แล้วคำๆ นี้ตอนนี้ฝรั่งทั่วโลกที่สนใจพระพุทธศาสนารู้จักกันป็นอย่างดี เพราะนี่คือคำๆ ว่า My Fullness การอยู่กับปัจจุบันที่นี่และเดี๋ยว นี้ มาจากพระสูตรนี้ ที่สตีฟ จ็อบบ์เอาไปใช้ การอยู่กับปัจจุบันขณะเนี่ยก็มาจากพระสูตรนี้ นี่คือความทันสมัยของมนต์ที่เราสวด ปัญหาก็คือมนต์ที่เราสวดกันอยู่ทุกวันนี้เราเข้าใจกันดีเหรอเปล่า ถ้าเข้าใจนะ มนต์นี่ก็เปลี่ยนแปลงชีวิตคนได้เลย
“วันหนึ่งมีคนไปถามพระพุทธเจ้าว่า อะไรคือมงคล พระเจ้าก็ตอบว่า มงคลก็คือเหตุแห่งความสุขความเจริญ มงคงมีดังต่อไปนี้ หนึ่งไม่คบคนพาล สองสังสรรค์บัณฑิต สามบูชิตบูชนีย์ สี่อยู่ในที่อันควร ไม่คบคนพาลก็คืออย่าไปคบคนเลว คบบัณฑิตก็คือคบแต่ยอดคน บูชิตบูชนีย์ก็คือหาคนมาเป็นแบบอย่างที่ดีซะ อยู่ในที่อันควรก็คือ อยู่ในที่ทำเลทอง อย่างคนไทยมาอยู่ซิดนีย์ไม่กี่ปีก็ตั้งตัวได้แล้ว เพราะที่นี่คือเมืองแห่งโอกาส ”

บาปมั้ยที่คนบางคนบอกว่าตนเองไม่มีศาสนาแต่เป็นคนที่ไม่ได้ไปทำความเดือดร้อนให้ใครและช่วยเหลือคนในบางโอกาสเท่าที่จะทำได้ ทั้งกำลังกายและกำลังทรัพย์ครับ
คืออย่างนี้ก็ไม่บาปหรอก พระอาจารย์ไปเทศที่เวนิสมีคนถามพระอาจารย์ว่าผมไม่มีศาสนา ผมเป็นคนที่ใช้ได้มั้ย พระอาจารย์ก็ย้อนถามว่า คุณไม่มีศาสนาแต่ถามว่าคุณเป็นคนดีมั้ย เป็นครับ มีงานทำมั้ย มีครับ จบการศึกษามั้ย จบครับ แล้วทุกวันนี้ครอบครัวเป็นอย่างไร ก็มีความสุขครับ พระอาจารย์ก็เลยบอกว่าถ้าอย่างนี้ไม่มีศาสนาก็ได้ เพราะสิ่งที่คุณมีมันก็คือแก่นของศาสนาแล้ว นั่นคืออะไรคุณมีปัญญา คุณมีอาชีพที่สุจริตทำ แล้วคุณดำรงชีวิตด้วยเหตุผลนี่ก็คือศาสนานั่นเอง เพียงแต่คุณจะเรียกมันว่าศาสนาหรือไม่ก็แล้วแต่ แต่ถ้ามันทำให้คุณเป็นคนดี มันไม่สำคัญว่ามันจะชื่ออะไร
ถ้าสิ่งที่คุณยึดเหนี่ยวทำให้คุณเป็นคนดี และมีชีวิตดีงาม คุณก็เป็นคนที่ใช้ได้คนหนึ่ง ก็เหมือนเราจิบชา พระอาจารย์จิบชาแก้วนี้ พระอาจารยไม่รู้ว่าชา แกว้นคี้ อื ชาอูหลง กรนี ที หรือ ชาอะไรไม่รู้ แต่ว่าเมื่อพระอาจารย์จิบแล้วเนี่ย มันทำให้เรารู้สึกสดชื่นดับกระหาย มันทำให้เราอิ่ม พระอาจารย์ว่าแค่นั้นก็พอแล้ว ไม่ต้องรู้จักชื่อก็ได้ มุ่งไปที่ประโยชน์เหมือนเราดมดอกกุหลาบ อาจจะไม่รู้ว่าดอกไม้ชนิดนี้ เขาเรียกกุหลาบ แต่เมื่อเราได้ชื่นชมกุหลาบแล้วเราสัมผัสได้ถึงความสดชื่นรื่นรมย์ เราบรรลุ วัตถุประสงค์แค่นั้นก็พอแล้ว ก้าวข้ามป้ายชื่อซะ แล้วไปอยู่กับเนื้อหาของสิ่งที่เรายึด ถ้าสิ่งนั้นทำให้เราเป็นคนดี แค่นั้นก็พอแล้ว

ฉะนั้นคำว่าศาสนจึงมีสองประเภท คือ หนึ่งศาสนาที่เป็นทางการ พุทธ คริสต์ อิสลาม ซิกซ์ พราหมณ์ สองศาสนาที่เป็นปรัชญาในการดำเนินชีวิต คุณอาจจะไม่มีศาสนาที่เป็นทางการก็ไม่เป็นไรแต่คุณไม่สามารถอยู่ได้ถ้าปราศจากปรัชญาการดำรง ชีวิต เพราะสิ่งนี้เป็นเข็มทิศในการดำเนินชีวิตของเราฉะนั้นไม่มีศาสนาที่เป็นทางการก็ได้ แต่อยู่อย่างไม่มีปรัชญาชีวิตคงเป็นไปไม่ได้การที่ท่านเข้ามาทางโลกมากขึ้นเพื่อต้องการเผยแพร่ธรรมะให้กับพุทธศาสนิกชน โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน สิ่งเหล่านี้อาจล่อตาล่อใจ (ความมีชื่อเสียง ความสะดวกสบาย) สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดกิเลสบ้างมั้ย แล้วท่านจัดการ กับกิเลสเหล่านี้ได้อย่างไรครับชื่อเสียงมันก็เหมือนสายลมนะ มันพัดให้เราเย็นๆ แต่กอดไม่ได้ คือมันมีนะ ชื่อเสียงมันจะมีความหมายก็ต่อเมื่ออยู่ในที่ที่คนรู้จักเรา ในที่ที่คนไม่รู้จักเรามันก็ไม่มีความหมาย สำหรับพระอาจารย์แล้วชื่อเสียงนั้นเป็นสิ่ง
สมมุติ ถ้าอยู่ในที่ที่เขาสมมุติเรา เราก็เออ ดีเหมือนกัน แต่ถ้าไปอยู่ในป่าในดง อย่างพระอาจารย์อยู่วัดป่า มีหมา 3 ตัวเป็นบริวาร ชื่อเสียงไม่มีผลอะไรเลยพระอาจารย์ก็ไม่เดือดร้อน ถ้าเราเข้าใจว่าชื่อเสียงเป็นสิ่งสมมุติ ถึงเวลาใช้ก็ใช้ ไม่ถึงเวลาใช้ก็อย่าไปยึดติดแค่นี้เราก็มีความสุข เท่านั้นเอง แต่ถ้าคนไม่เข้าใจเราก็จะทุกข์กับมันมาก วันไหนสปอตไลท์แห่งความสนใจไม่ส่องมาจับ ก็ทุกข์ วันไหนชื่อเสียงมันลดลง ก็ทุกข์ ไปที่ไหนแล้วคนต้อนรับไม่สมกับชื่อเสียง ก็ทุกข์ แต่ถ้าเราเข้าใจ
นะ ว่าชื่อเสียงเป็นสายลมเย็นไม่มีตัวตนเป็นๆ ให้เรากอด หรือถือครอบครอง เข้าใจอย่างนี้ถึงเวลาใช้ก็ใช้ ไม่ถึงเวลาใช้ก็ไม่ต้องใช้ อยู่ที่ที่คนสนใจก็ได้อยู่ในที่ที่คนไม่สนใจก็ได้ ครูบาอาจารย์ของอาตมาคือหลวงพ่อชา ท่านสอนว่า เพชรเนี่ยนะลูก
ถ้ามันเป็นเพชรจริงๆ จะวางบนเรือนแหวนก็ได้ หรือจะหมกในโคลนตมก็ได้ ความเป็นเพชรมันไม่ได้ลดลงหรอก เพราะมันเป็นเพชรโดยที่ไม่ต้องให้ใครมาการันตีความเป็นเพชรของมัน มันเป็นของมันอยู่แล้วฉะนั้นใครก็ตามถ้าเป็นตัวจริง เป็นเสียงจริงของวงการแล้ว เขาไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจกับการที่คนอื่นจะมองเห็นหรือมองไม่เห็นหรอก พระอาจารย์เชื่อมั่นอย่างนั้น

สิ่งที่ท่านทำอยู่ทุกวันนี้ ท่านต้องการบอกอะไรกับคนไทยครับ
ต้องการจะบอกว่าธรรมะมันดีไง มันวิเศษจริงๆ ธรรมะเนี่ย คนมีธรรมะกับคนไม่มีธรรมะมันต่างกันมากนะคนไม่มีธรรมะเนี่ยเขาจะนำพาชีวิตของเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่สูงค่าที่สุดในบรรดาสิ่งมีชีวิตในโลก ในบรรดาทรัพย์สมบัติในโลกนี้นะ ไม่มีอะไรจะมีค่ามากไปกว่าชีวิตหรือการได้เกิดมาเป็นคน คุณได้โควต้ามาเกิดเป็นคนเนี่ยคือสุดยอดของทรัพย์สมบัติ คือสุดยอดของความโชคดีแต่คนไม่มีธรรมะเขาจะปฏิบัติตนต่อชีวิตนี้ไม่ถูก เช่นเอายาเสพติดมาใส่ลงไปในชีวิต เอาการพนันใส่เข้าไปในชีวิต เอาเชื้อโรคร้ายใส่เข้าไปในชีวิต เอานิสัยที่ไม่ดีใส่เข้าไปในชีวิต แล้วหลังจากนั้นชีวิตเหล่านี้ก็กลายเป็นกากเดนของชีวิต มีแต่ความทุกข์
แต่ใครก็ตามที่มีธรรมะ เขาจะเอาความรู้ใส่เข้าไป เอาปัญญาใส่เข้าไปเอาจริยธรรมใส่เข้าไป เอาวิศัยทัศน์ใส่เข้าไป เอาน้ำใจไมตรีใส่เข้าไป เอาความใจบุญใส่เข้าไป เอาศิลปะในการคิด การพูด การทำ การดำรงชีวิตใส่เข้าไป และจากคนที่ต้นทุนเท่ากัน ชีวิตหนึ่งไม่มีธรรมะ กลายเป็นขยะของสังคม อีกชีวิตหนึ่งมีธรรมะรุ่งโรจน์โชตนาอยู่บนท้องฟ้า กลายเป็นยอดคน
ฉะนั้นเราแต่ละคนก็เหมือนดินก้อนหนึ่ง ดินก้อนนี้ ถ้าเอาไปใส่มือให้ชาวบ้าน ชาวบ้านเอาไปเทบนพื้นไม่เห็นค่า แต่ถ้าเราเอาไปใส่มือศิลปิน ศิลปินเอาไปปั้นเป็นพระพุทธรูป คนกราบกันทั้งบ้านทั้งเมือง ต้นทุนคือดินเหมือนกัน แต่สำคัญว่าใครจะปั้นให้เป็นอะไร เราทุกคนมีหน้าที่ปั้นชีวิตของเราให้เป็นชีวิตที่ดีที่สุด คนมีธรรมะเขาจะปั้นชีวิตของเขาให้เป็นยอดชีวิต คนไม่มีธรรมะเขาก็จะทำลายชีวิตของเขาให้เป็นขยะของชีวิต หรือชีวิตขยะ
ถ้าเกิดปัญหา เกิดความหดหู่ ท้อแท้จากการทำงานหรือการเรียน แต่ไม่มีใครให้กำลังใจเหมือนที่เมืองไทย ควรจะทำอย่างไรดีครับ
พระอาจารย์อยากจะบอกว่า โชคดีบางทีแฝงตัวมากับความโชคร้ายนะ อย่างสตีฟ จ็อบส์เกิดมาพ่อแม่ไม่เลี้ยงเลยเอาไปฝากให้คนอื่นเลี้ยง ในขณะที่ใครต่อใครมองว่า เขาถูกทิ้ง พ่อแม่ยังไม่เลี้ยงเลย แต่สตีฟ จ็อบส์บอกว่า เปล่า ผมไม่ได้ถูกทิ้ง ผมถูกเลือกต่างหาก เพราะพ่อแม่บุญธรรมเดินมาที่โรงพยาบาล แล้วมาเลือกผมเอาไปเป็นลูกบุญธรรม ผมคือคนที่ได้รับเลือก แต่คนอื่นมองว่าเขาถูกทิ้ง และด้วยความรู้สึกที่ว่าเขาถูกเลือก เขาจึงกลายเป็นคนที่คิดเสมอว่า เขาเป็นคนพิเศษด้วยโลกทรรศน์ที่มองว่าเขาเป็นคนที่พิเศษ เป็นคนที่ได้รับเลือก เขาจึงใช้ชีวิตไม่เหมือนใครเลย
ต่อมาเมื่อเขาถูกไล่ออกจากบริษัทแอปเปิ้ล คนอื่นมองตามว่าไอ้นี่เจ๊งแล้ว แต่สตีฟ จ็อบส์บอกว่า พอกันทีกับบริษัทที่เต็มไปด้วยคนที่ไม่เข้าใจผม ผมจะไปสร้างอาณาจักรที่เป็นของผมอย่างแท้จริงผลก็คือออกไปสร้างบริษัท Pixar บริษัทใหม่ของเขา แล้วต่อมาก่อตั้งบริษัท NeXT ทำคอมพิวเตอร์ล้ำยุคที่เขาอยากจะทำ จนเกิดแอนนิเมชั่นเรื่อง Toy Story จนได้รับรางวัลออสก้า Walt Disney มาซื้อบริษัทเขาเขากลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับหนึ่งของ Walt Disney
ต่อมาบริษัทเดิมซึ่งตะเพิดเขาออกมา ทนไม่ไหวกลัวเขาจะรุ่งเกินไป ก็ไปซื้อตัวเขาคืนมา เขากลายเป็นผู้ถือหุ้นเบอร์หนึ่งของแอปเปิ้ล คนที่ถูกเฉดหัวออกไปแล้ว และที่คนอื่นบอกว่าไอ้นี่เจ๊งแล้วเนี่ย กลับเขามาอีกครั้งหนึ่ง เป็นประธานบริษัทแอปเปิ้ล เป็นบริษัทที่มีมูลค่าทางการตลาดสูงเป็นอันดับหนึ่งของโลก นี่หรือคนที่ล้มเหลวในสายตาคนอื่น สตีฟ จ็อบส์บอกว่าวันที่ผมถูกไล่ออก ผมค้นพบว่าวันนั้นเป็นวันที่สร้างสรรค์ที่สุดในชีวิต เพราะมันทำให้ผมได้รู้ว่า ผมเหมาะกับอะไรมากที่สุด ฉะนั้นใครก็ตามที่กำลังรู้สึกว่าชีวิตมันโชคร้าย อย่าเพิ่งมองอย่างนั้น ดอกบัวทุกดอกงอกมาจากโคนตมใช่มั้ย ไม่มีตมไม่มีบัว ไม่มีโชคร้ายไม่มีโชคดี ไม่มีความลำบากไม่มียอดคน มองอย่างนี้แล้วเราจะไม่กลัวความลำบาก

เรื่องที่พระอาจารย์เทศนาในวันเสาร์ที่ 12 พฤษภาคม ที่ผ่านมาเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรครับ เพราะบางคนอาจไม่มีโอกาสได้มารับฟังในวันนั้น
เรื่องสมดุลงาน สมดุลชีวิต งานสัมฤทธิ์ ชีวิตรื่นรมณ์ คือศิลปะในการทำงานไปด้วย ใช้ชีวิตไปด้วย คนจำนวนมากนี่ทำงานก็ทำงาน แล้วพอทำงานเสร็จก็แยกไปใช้ชีวิต แต่สำหรับพระอาจารย์มองว่าชีวิตที่ดีเนี่ย ในขณะทำงานก็เป็นการใช้ชีวิต ในขณะที่ใช้ชีวิตก็เป็นการทำงาน ถ้าเราได้ทำในสิ่งที่เรารัก เราจะไม่รู้สึกว่าต้องแบกต้องหาม แต่เรากำลังรู้สึกว่าเรากำลังได้ทำในสิ่งที่ดีที่สุดทุกคืนทุกวัน เวลาในชีวิตของเราส่วนใหญ่คือเวลาที่เราอยู่กับงานใช่มั้ย
ถ้าเราไม่รักมัน มันจะมีความสุขมั้ย ทุกข์ทุกวันเลยนะ แต่เมื่อเราได้ทำในสิ่งที่เรารักเราจะมีความสุข เราไม่ต้องรอวันเสาร์วันอาทิตย์ถึง จะเป็นวันหยุด เพราะถ้าเราได้ทำในสิ่งที่เรารัก ขณะทำงานเราก็กำลังพักผ่อน ความสุขกับการทำงานเป็นเรื่องเดียวกันนี่คือสิ่งที่พระอาจารย์ต้องการจะบอกว่า เราต้องทำให้การทำงานกับการใช้ชีวิตเป็นเรื่องเดียวกัน แล้วชีวิตที่ดีงานที่ดีก็คือ งานต้องสัมฤทธิ์ชีวิตต้องรื่นรมณ์
ไม่ใช่ว่างานสัมฤทธิ์แต่ชีวิตไม่รื่นรมณ์ ซึ่งตัวอย่างของสตีฟ จ็อบส์ก็เป็นตัวอย่าง ที่ดี เพราะเมื่อก่อนเขาเป็นคนบ้างาน ในขณะที่เขากำลังรุ่งโรจน์ แต่จู่ๆ เขาก็เป็นมะเร็ง ก็คือเขาทำงานมากแต่เขาไม่ได้ดูแลสุขภาพ ดาไลลามะบอกว่าคนสมัยก่อนทำงานเก็บเงินเพื่อไว้ใช้ตอนสูงอายุ เที่ยวรอบโลก คนสมัยนี้ทำงานเก็บเงินไว้ใช้รักษาตัวเองในห้องไอซียู นี่คือวิถีชิวิตที่สูญเสียสมดุล พระอาจารย์ต้องการที่จะบอกว่า ทำงานไปด้วยดูแลตัวเองไปด้วยสิ เพื่อว่าเงินที่คุณเก็บจะได้เป็นเงินที่ทำให้คุณมีความสุขอย่างแท้จริง
การที่เราเก็บเงินแล้วเราต้องเอาเงินไปรักษาตัวในโรงพยาบาล อันนี้คือสิ่งที่เรียกกันว่าภาวะสูญเสียสมดุลของคนในยุคทุนนิยมบริโภค ซึ่งทั่วโลกเป็นกันอย่างนี้ เพราะว่าเราบ้าทำงานแล้วหลงลืมการดูแลคุณภาพชีวิต ดังนั้นหลักการทำงานและหลักการใช้ชีวิตที่ดีเราวัดกันตรงนี้ วัดกันตรงที่งานก็สัมฤทธิ์ ชีวิตก็รื่นรมณ์ หรืองานก็ได้ผลคนก็เป็นสุข ทำได้อย่างนี้ชีวิตจะมีความสุขมาก

หลายคนอาจสงสัยว่าคุณวรวิทย์ นับถือศาสนาคริสต์ แล้วทำไมถึงได้นิมนต์พระอาจารย์มาเทศนาธรรมถึงที่ซิดนีย์ คำตอบที่เราได้จากคุณวิทย์ก็คือ
ประการแรก หลักคำสอนของศาสนาคริสต์ พระเจ้าท่านสอนว่า ให้เราทุกคนรักกัน เพราะคนทุกคนทั้งหมดคือลูกของพระเจ้า ดังนั้นไม่ว่าคุณจะนับถือศาสนาใดก็ตามแต่ เพศไหน วัยไหน ชนชาติอะไร จะทุกข์ จะสุข จะรวย จะจน พระเจ้าสอนให้เราทุกคน ทุกศาสนา สามารถรักกันได้ สามารถแบ่งปันความดีให้ซึ่งกันและกันได้โดยไม่มีสิ่งใดมากีดขวาง
ประการที่สอง ผมถือว่ามนุษย์ทุกคน พบกันที่ความดี พบกันที่สัจธรรมของชีวิต ซึ่งหยุดและสิ้นสุดอยู่ที่ความเป็นมนุษย์ ดังนั้นเราไม่ควรจะมองกันที่ศาสนา เพราะทุกศาสนาสอนให้เราเป็นคนดีอยู่แล้ว
ประการที่สามเนื่องจากตัวผมนับถือ พระอาจารย์ ว. วชิรเมธี มากๆ ผมถือว่าท่านเป็นปราชญ์ของเมืองไทย เป็นมหาอาจารย์ที่ยิ่งใหญ่ของผม ผมเป็นผู้เล็กน้อยและต่ำต้อย ที่พระอาจารย์ท่านเมตตาผม เอ็นดูผม พอผมเรียนท่านว่า ผมอยากจัดธรรมะสัญจรครั้งที่สองที่ซิดนีย์เพื่อพี่น้องในซิดนีย์และเมืองใกล้เคียง พระอาจารย์ท่านก็ยินดีรับนิมนต์ จนทำให้เกิดงานบุญในครั้งนี้ ซึ่งผมเองก็มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับใช้ท่านพระอาจารย์ ว.วชิรเมธี ในฐานะที่ท่านเป็นมหาปราชญ์ของประเทศไทย
เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าข้อคิดในการดำเนินชีวิตต่างๆ ที่ท่านพระอาจาย์ได้สอนพวกเรา ไม่ว่าท่านจะสอนใครก็ตาม มันเป็นสัจธรรมความจริงของชีวิต ซึ่งใครก็ตามแต่ที่ได้ฟัง ก็สามารถนำมาใช้ได้กับชีวิตประจำวันได้อย่างแท้จริง ทาง VR Thai ก็อยากจะขออนุโมทนาบุญกับทุกฝ่ายที่ทำให้งานนี้เสร็จสมบูรณ์และลุล่วงไปได้ด้วยดี และหวังเป็นอย่างยิ่งว่างานบุญดีๆ เหล่านี้จะกลับมาสร้างความอิ่มเอมใจให้กับพวกเราชาวซิดนีย์ในวันข้างหน้าอีกอย่างแน่นอน