Home Editor's Picks มนต์เสน่ห์แห่งเอเชียใต้ ที่ไม่เคยได้สัมผัสของอินเดีย

มนต์เสน่ห์แห่งเอเชียใต้ ที่ไม่เคยได้สัมผัสของอินเดีย

by ChaYen
มนต์เสน่ห์แห่งเอเชียใต้

มนต์เสน่ห์แห่งเอเชียใต้ มีใครเลยจะรู้ว่าอินเดียมีเสน่ห์ลึกลับที่น่าค้นหา ทั้งความสวยงามที่ธรรมชาติรังสรรค์ขึ้น และ ความสวยงามทางวัฒนธรรมที่มีมาช้านาน

พอพูดถึง “ประเทศอินเดีย” หลายคนคงนึกถึงความสกปรก ความยากจน ขอทาน กลิ่นตัวแขก ภาพเหล่านี้จึงไม่ดึงดูดนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ สักเท่าไหร่นัก แต่ใครเลยจะรู้ว่าอินเดียมีเสน่ห์ลึกลับที่น่าค้นหา ทั้งความสวยงามที่ธรรมชาติรังสรรค์ขึ้น และ ความสวยงามทางวัฒนธรรมที่มีมาช้านาน วันนี้ทีมงาน VR Thai ขอพาท่านผู้อ่านร่วมเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ในมุมมองที่ใครอาจยังไม่เคยได้สัมผัสของอินเดีย

เราเริ่มออกเดินทางจากสนามบิน Sydney Kingsford Smith โดยสายการบิน Airasia X สู่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซียเพื่อต่อเครื่อง ซึ่งใช้เวลาประมาณ 9 ชั่วโมงเศษ ระหว่างรอเปลี่ยนเครื่องนั้น ยังพอมีเวลาให้ยืดเส้นยืดสายเล็กน้อย รองท้องด้วยอาหารท้องถิ่นจากร้านชื่อดังอย่าง Old Town ภายในสนามบิน แล้วเตรียมตัวออกเดินทาง

เพียง 4 ชั่วโมงเราก็เดินทางมาถึงสนามบินนานาชาติ Netaji Subhash Chandra Bose เมือง Kolkata ซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่าของประเทศอินเดีย เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางอันแสนยาวนาน คืนนี้เราเลือกนอนที่โรงแรมย่าน New Market ศูนย์ กลางการค้า การคมนาคมของเมือง ความวุ่นวาย ความสนุกสนานในเมืองแขกกำลังจะเริ่มขึ้น โดยที่เราไม่รู้เลยว่ามีอะไรรอเราอยู่ข้างหน้าบ้าง

ตื่นเช้ามารับอรุณแรกของวันด้วยโรตีแกงแบบอินเดีย ตบท้ายด้วยชาร้อนหอมกรุ่น เติมพลังก่อนออกผจญภัยจุดหมายปลายทางของเราวันนี้คือ Victoria Memorial อาคารหินอ่อน ศิลปะแบบตะวันตกยุคเดียวกับพระที่นั่งอนันตสมาคม ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานของสมเด็จพระราชินีวิคตอเรีย ในยุคที่อินเดียเป็นอาณานิคมของเครือจักรภพอังกฤษ ถือเป็นสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่สวยงามตระการตา รอบๆ ตกแต่งด้วยสวนเขียวขจี

เราเดินชมและเก็บภาพกันอย่างสนุกสนาน ผู้คนมากมายที่มาเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้ บ้างก็เป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ บ้างก็เป็นชาวอินเดียแต่งกายด้วยชุดส่าหรีสีสันสะดุดตา มาพร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่ได้แอบแฝงสิ่งใด ทำให้เราก็เผลอยิ้มตามไปความกับความน่ารักของพวกเขาได้เหมือนกัน พอได้เวลาเราต้องบอกลาเมืองหลวงเก่าแห่งนี้เสียแล้ว เพราะเรากำลังจะเดินทางสู่เมืองหลวงแห่งใหม่ “New Delhi” แต่การเดินทางนี้จะไม่ธรรมดาเนื่องจาก

เราเลือกที่จะเดินทางโดยรถไฟใช้เวลาทั้งหมด 17 ชั่วโมงสู่กรุงนิวเดลี ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วเราสามารถนั่งเครื่องบินไปโดยใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้นแต่เราเชื่อว่าจุดหมายปลายทางไม่สำคัญเท่าประสบการณ์ระหว่างทาง เราจึงขึ้นรถไฟกันตอนเย็นเพื่อให้มาถึงนิวเดลลีในตอนสายของวันรุ่งขึ้น รถไฟของอินเดียไม่ได้ลำบากและสกปรกอย่าง ที่คิด เพราะเราเลือกใช้บริการของ SDAH RAJDHANIEX รถไฟตู้นอนมีเครื่องปรับอากาศ โดยแต่ละฝั่งจะเป็นเตียง 2 ชั้นไม่อึดอัดเมื่อรถไฟแล่นออกจากชานชาลาไปได้สักพัก เพื่อนร่วมโบกี้เริ่มมีการทักทายกันทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

มิตรภาพต่างแดนไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เราได้แลกเปลี่ยนทัศนะคติ ประสบการณ์การเดินทางจากเพื่อนใหม่ ซึ่งไม่สามารถหาซื้อได้จากที่ไหน ระหว่างที่รถไฟแล่นผ่านนั้นเราได้เห็นภูมิประเทศของอินเดีย ความเป็นอยู่ของชาวบ้านที่เรียบง่าย ทำให้เราลืมความศิวิไลซ์ในเมืองหลวงไปชั่วขณะ และคิดได้ว่าชีวิตคนเราบางทีก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากมายนัก ไม่นานนักก็มีพนักงานนำอาหารมาเสิร์ฟให้พร้อมชาและของหวาน ชีวิตความเป็นอยู่บนรถไฟจึงสุขสบายเลยทีเดียว เมื่อหนังท้องตึง หนังตาก็เริ่มหย่อน เราจึงเริ่มเอนตัวลงนอนพักผ่อนเก็บแรงไว้สำหรับวันพรุ่งนี้สำหรับเมืองหลวงที่แสนโกลาหล

รถไฟเริ่มเคลื่อนตัวช้าลง เมื่อใกล้ถึงสถานี New Delhi Railway Station บันทึกการเดินทางในเมืองหลวงกำลังจะเริ่มขึ้น เราเอาสัมภาระไปเก็บที่โรงแรมก่อนในย่าน Paharganj ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาสถานีรถไฟอาบน้ำล้างหน้า เพื่อให้ร่างกายสดชื่น พร้อมที่จะออกไปเที่ยวรอบเมืองเรานั่งรถไฟสายสีม่วงจาก NDLS ไปลงที่ Kalkaji ก็มาถึง Lotus Temple สถาปัตยกรรมที่น่าทึ่งตามความศรัทธาของศาสนาบาไฮ ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่โดดเด่น ดอกบัวที่เป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ ความสันติ ความรักและความอมตะ

ออกแบบให้เหมือนดอกบัวที่บานออกครึ่งหนึ่งดูๆ ไปแล้วก็คล้ายคลึงกับ Opera House ที่ซิดนีย์อยู่ไม่น้อย ล้อมรอบไปด้วยสระน้ำทั้ง 9 สระ ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ไปชมวันละหลายพันคน หลังจากเต็มอิ่มกับการชมวัดดอกบัวแล้ว แล้วก็นั่งรถไฟไปยัง Central Secretariat เพื่อเปลี่ยนเป็นรถไฟสายสีเหลืองไปลงที่ Qutub Minar เพื่อมาชมหอคอยเก่าแก่ชื่อเดียวกับชื่อสถานีรถไฟที่ทำจากอิฐและหินสีแดงสูงตระหง่านมีการแกะสลักลวดลายปราณีตและมีถ้อยคำจากคัมภีร์อัลกุรอานอยู่โดยรอบ สร้างขึ้นเพื่อแสดงชัยชนะเหนือฮินดูของชาวมุสลิม ใช้เวลาไม่นานก็เดินชมบริเวณโดยรอบจนครบ

”มีผู้คนมากมายจากทั่วโลกหลั่งไหลมาเพื่อ มาชมความยิ่งใหญ่ของทัชมาฮาล สุสานหินอ่อนริมฝั่งแม่น้ำยมุนา ที่เจ้าชายชาห์ จาฮัน จักพรรดิองค์ที่ 4 แห่งราชวงศ์โมกุล สร้างขึ้นเพื่อเป็นเป็นอนุสรณ์แห่งความรัก ที่มีต่อ พระนางมุมตัส พระมเหสีอันเป็นที่รักยิ่งของพระองค์ ซึ่งได้สิ้นพระชนม์ลง ”

ChaYen
มนต์เสน่ห์แห่งเอเชียใต้

หลังจากเต็มอิ่มกับการทัวร์รอบเมืองเดลีแล้ว เราจึงขอกลับไปพักผ่อนที่โรงแรมกันตามอัธยาศัย เนื่องจากวันรุ่งขึ้นเราต้องออกเดินทางกันแต่เช้า เพื่อไปชมสถาปัตยกรรมชื่อก้องโลก ณ เมืองอักรา อย่างทัชมาฮาล อนุสรณ์สถานแห่งความรัก และ 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก เมืองอักราตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำยมุนา นับเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามของรัฐอุตรประเทศ

การเดินทางจากเดลีไปอักรานั้น ใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงเศษ โดยรถไฟขบวน Bhopal Shatabdi (12002) ก็มาถึงสถานี Agra Cantt หลังจากนั้นเราก็เลือกนั่งรถตุ๊กตุ๊กอินเดีย เพื่อไปยังทัชมาฮาล ระหว่างทางที่รถแล่นผ่านนั้น สองข้างทางของอินเดียยังสวยงามเสมอ ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวอักรานั้นแสนจะเรียบง่าย ไม่รีบร้อน

มนต์เสน่ห์แห่งเอเชียใต้

เราเริ่มเห็นนักท่องเที่ยวหนาตามากขึ้นเมื่อรถใกล้ถึง ผู้คนมากมายจากทั่วโลกหลั่งไหลมาเพื่อมาชมความยิ่งใหญ่ของทัชมาฮาล สุสานหินอ่อนริมฝั่งแม่น้ำยมุนา ที่เจ้าชายชาห์ จาฮัน จักพรรดิองค์ที่ 4 แห่งราชวงศ์โมกุล สร้างขึ้นเพื่อเป็นเป็นอนุสรณ์แห่งความรักที่มีต่อ พระนางมุมตัส พระมเหสีอันเป็นที่รักยิ่งของพระองค์ ซึ่งได้สิ้นพระชนม์ลง

มนต์เสน่ห์แห่งเอเชียใต้

หลังจากให้กำเนิดทายาทองค์ที่ 14 อนุสาวรีย์แห่งนี้สร้างขึ้นด้วยหินอ่อนทั้งหมด บริเวณโดยรอบมีผนังศิลาแลงล้อมรอบ ประตูทางเข้าวางอยู่บนฐานศิลา บริเวณทางเข้ามีสระน้ำรอบทางเดินเป็นสวนดอกไม้นานาพันธุ์ ภายในของทัชมาฮาลมีหีบพระศพของทั้ง 2 พระองค์เคียงคู่กัน ตามพระประสงค์ที่ต้องการจะอยู่เคียงคู่กันตราบจนชั่วนิจนิรันดร์ เราไปต่อคิวเพื่อรอซื้อบัตรเข้าชม ราคาสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยอยู่ที่ 510 รูปี (ประมาณ 270 บาท)

มนต์เสน่ห์แห่งเอเชียใต้

เมื่อผ่านเข้าไปด้านในแล้วจะมีการตรวจกระเป๋าอย่างเข้มงวด และห้ามใส่รองเท้าในเขตที่เป็นสุสานหินอ่อน แต่เขาจะมีถุงหุ้มรองเท้าให้แทน เมื่อสองเท้าย่างก้าวเข้ามา สองตาค่อยๆ สอดส่องไปรอบๆ ร่างกายตอนนั้นดั่งต้องมนต์สะกด มันสวยงามอลังการสมคำร่ำลือเสียจริง ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแล้วว่าความรักมีอานุภาพมากเช่นนี้ ทัชมาฮาลคือตัวอย่างของตำนานแห่งความรัก ที่ปราศจากคำนิยาม เราใช้เวลาดื่มด่ำกับบรรยากาศและความสวยงามในนี้อยู่นานพอสมควร

อินเดีย

พอใกล้เที่ยงจึงออกไปรับประทานอาหารกลางวันกันที่ร้านไม่ไกลจากสถานที่ท่องเที่ยวมากนัก เพื่อจะได้มีแรงเดินทางต่อกันไปยัง Agra Fort ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก ทัชมาฮาลเพียง 2 กิโลเมตรเท่านั้น ป้อมอักราหรือป้อมแดง ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในมรดกโลกของอินเดีย เคยเป็นพระราชวังที่ยิ่งใหญ่และมีกษัตริย์แห่งราชวงศ์โมกุลใช้เป็นพระราชวังสืบต่อกันมาถึง 3 รัชกาล

อีกทั้งยังเป็นอนุสรณ์สถานแห่งความหลังและลมหายใจสุดท้ายอันน่าเศร้าของเจ้าชายชาห์ จาฮัน ที่ถูกพระโอรสของพระองค์คือพระเจ้าออรังเซบจับให้สละราชสมบัติและคุมขังไว้ ที่ป้อมอักรานี้เจ้าชายชาห์ จาฮันใช้เฝ้ามองทัชมาฮาลซึ่งเป็นอนุสรณ์แห่งความรักที่พระองค์สร้างขึ้นอยู่ถึง 8 ปีก่อนจะสิ้นพระชนม์ เป็นตำนานรักอมตะที่น่าเศร้ายิ่งนัก

มนต์เสน่ห์แห่งเอเชียใต้

ป้อมอักราประกอบด้วยกำแพงที่สร้างด้วยหินทรายสีแดง ประตูทางเข้าที่ตกแต่งด้วยกระเบื้องหลากสีสัน พร้อมด้วยอาคารมากถีง 500 หลังอยู่ภายใน อาคารส่วนใหญ่สร้างขึ้นเพิ่มเติมในสมัยหลัง โดยใช้หินอ่อนเป็นวัสดุหลักในการก่อสร้าง เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความสำเร็จและพระราชอำนาจของจักพรรดิอักบาร์แห่งราชวงศ์โมกุล มีผู้คนแวะมาเยี่ยมชมความยิ่งใหญ่ของป้อมนี้อยู่ไม่น้อย นี่คือ มนต์เสน่ห์แห่งเอเชียใต้

มนต์เสน่ห์แห่งเอเชียใต้

เมื่อเดินชมไปได้สักพักหนึ่ง ก็มีสาวน้อยชาวอินเดียใส่ชุดส่าหรีสีสด เดินเข้ามาขอถ่ายรูปด้วยหน้าตาที่เป็นมิตร เราถึงกับยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว กับมิตรภาพดีๆที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งในอินเดียที่เรามีความสุข สนุกกับการเดินทางและผู้คนรอบข้าง อินเดียเป็นเมืองแห่งสีสันจริงๆ การมาท่องเที่ยวในสถานที่ประวัติศาสตร์ทั้งสองนั้น ถือว่าคุ้มค่ามาก

ทำให้เราได้เห็นถึงความเป็นมาอันช้านานของคนอินเดีย ที่มีวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว คืนนี้เราเลือกที่จะพักโรงแรมใกล้ทัชมาฮาล เพื่อชมบรรยากาศเมืองอักราในยามค่ำคืน และรับประทานอาหารค่ำบนดาดฟ้าของโรงแรม ด้วยอาหารอินเดียแบบง่ายๆ ซึ่งสามารถชื่นชมความงามของทัชมาฮาลในยามค่ำคืนได้แบบใกล้ๆ อีกด้วย เป็นการปิดท้ายสำหรับวันนี้ ก่อนที่พรุ่งนี้เช้าเราจะเดินทางกลับเดลีกันโดยรถไฟ.. “ทุกการเดินทาง มีความทรงจำ ทุกการจากลา มีความคิดถึงตามมาเสมอ”

Related Articles