ราษฎรอาวุโส มุมมองชีวิตวัย 82 ลุงทองบ่อ “อาบน้ำร้อนมาก่อน” ประโยคนี้ มันไม่ได้หมายความว่า แค่เกิดก่อน และอายุมากกว่าเท่านั้น แต่หมายความถึงคนผู้นั้น ได้ผ่านร้อนผ่านหนาว เจอะเจอประสบการณ์และผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆ นานามาได้จนถึงทุกวันนี้
ฉบับนี้ วีอาร์ได้นำทีมมาสัมภาษณ์ คุณลุงทองบ่อ นาคเงินทอง หนึ่งในคนไทยกลุ่มแรกๆ ที่เดินทางมาอาศัยอยู่ในออสเตรเลียผู้ที่มิตรสหายขนานนามกันว่า ราษฏรอาวุโส ซึ่งผ่านร้อนผ่านหนาวมา 82 ปีแล้ว
เริ่มจากเพื่อนๆ หรือคนที่เรารู้จักในสมัยก่อน จะมีปัญหาเรื่องการสอนการบ้านลูก ไม่มีเวลาดูลูก เขาก็มาขอความช่วยเหลือให้ผมไปสอน ก็ไป “ลุงเป็นคนร้อยเอ็ด จบจากโรงเรียนทหารม้ารักษาพระองค์ที่สระบุรีก็เข้ารับราชการอยู่กรมทหารม้ารักษาพระองค์อยู่ สมัยนั้นพลเอกเปรม ท่านยังเป็นผู้บังคับบัญชา คุมฝ่ายการศึกษา ก็นับถือท่านเหมือนครูบาอาจารย์ ทำอยู่ประมาณ 10 กว่าปีก็ลาออกมา ลุงเป็นคนมีเพื่อนฝูงเยอะ เป็นอาจารย์มั่ง เป็นตำรวจมั่ง แม้กระทั่งนายพลก็มี เขาก็เป็นห่วงกัน เลยแนะนำชักชวนให้มาอยู่ที่ออสเตรเลีย”

ได้เปลี่ยนแนวทางชีวิตมาอยู่ในออสเตรเลีย
คุณลุงทองบ่อจึงได้เปลี่ยนแนวทางชีวิตมาอยู่ในออสเตรเลีย ซึ่งในสมัยนั้น มีคนไทยและชาวเอเชียมาอยู่น้อยมาก“สมัยก่อน ตอนมาแรกๆ คนไทยมีแค่ 4-5 คนเท่านั้นเอง ไปหาซื้ออาหารกินก็ต้องไปกินที่ไชน่าทาวน์ เพราะสมัยนั้นยังไม่มีร้านอาหารไทยเลย พอเจอคนไทยด้วยกันก็ดีใจมาก ตะโกนคุยกัน รู้สึกถูกอัธยาศัยกัน รักกัน เพราะคนมันน้อย และเรารู้สึกดีที่ได้พูดภาษาไทยกัน บางคนตอนอยู่เมืองไทย ความประพฤติไม่ค่อยดี พอมาอยู่ที่นี่ก็กลับเป็นคนละคนเลย สถานที่มันทำให้เราเรียนรู้ที่จะปรับปรุงตัวดีขึ้น”

มีหลักในการดำเนินชีวิตเป็นอย่างไรครับ
เมื่อมาถึงออสเตรเลีย คุณลุงทองบ่อก็มารับราชการเป็นเสมียนของสถานทูต ฝ่ายทูตทหารอยู่ประมาณ 4 ปีจึงลาออก“คนเรามันต้องมีการเปลี่ยนแปลงเราได้มาอยู่ต่างประเทศแล้ว ได้เห็นโน่นนี่ เราก็น่าจะออกไปเห็นโลกกว้าง เหมือนสุภาษิตจีน เดินทางเป็นหมื่นลี้ดีกว่าอ่านหนังสือเป็นหมื่นเล่ม ลุงไปเรียนต่อวิชาการบริหารงานบุคคลที่แคนเบอร์ร่าเทคนิคอยู่ 3 ปี หลังจากนั้นก็กลับไปบวชให้คุณพ่อคุณแม่อยู่ที่วัดมิ่งเมือง จังหวัดร้อยเอ็ดอยู่ครึ่งเดือน อยู่กับท่านเจ้าคุณวินัยเจ้าคณะจังหวัดร้อยเอ็ด ได้ศึกษาธรรมมะอย่างเต็มที่ เมื่อกลับมาออสเตรเลียก็มาลองทำงานต่างๆ คลีนกระจกตึกสูงๆ ย้ายเข้ามาที่ซิดนีย์ก็ทำงานโรงงานเบียร์ทูฮี จนกระทั่งเกษียณอายุนี่ละ”

ทราบว่าเป็นผู้ก่อตั้งสมาคมกอล์ฟฯ
“ลุงเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง สมาคมกอล์ฟ ตั้งแต่เป็นแค่ชมรมกอล์ฟเล็กๆ ตีกัน 10- 15 คน พวกน้องๆ เขาตีมาก่อนแล้วละ ที่เป็นรูปเป็นร่างนี่เริ่มจากลุงไปทานอาหารที่ร้านเบญจรงค์ พอดีเลขากิตติมศักดิ์สมาคมแห่งประเทศไทยเขามาทานข้าว ก็เลยได้คุยกันเรื่องกอล์ฟ และทางเลขาท่านก็เสนอให้รวมรวมรายชื่อสมาชิกที่มีอยู่ตอนนี้ส่งไป เพื่อจัดตั้งเป็น สมาคมกอล์ฟไทยแห่งออสเตรเลีย”
”จำได้ว่า สิ่งแรกที่พ่อสอนคือ คนเรานั้นจะล่วงลุและสำเร็จได้ด้วยความเพียรและอุตสาหะ นั่นเป็นสิ่งที่ลุงจำมาจนถึงทุกวันนี้”

ตลอด 82 ปีที่ผ่านมา มองโลกอย่างไรบ้าง
“ลุงต่อสู้ชีวิตมาตั้งแต่เด็ก เลยเห็นสัจธรรมของความเป็นมนุษย์ที่ดิ้นรนซะจนตัวเองลำบากซะเหลือเกิน ลุงโชคดีที่เป็นลูกคนเดียว ความรักของพ่อและแม่ก็มอบให้ลุงหมด ญาติพี่น้องทุกคนก็รัก ลุงได้คำสอนมาจากพ่อแม่ ตอนเด็กๆ พ่อลุงทำงานในเรือกลไฟ เป็นช่างเครื่อง ต้องเดินทางตลอด เลยต้องเขียนจดหมายคุยกัน จำได้ว่า สิ่งแรกที่พ่อสอนคือ “คนเรานั้นจะล่วงลุและสำเร็จได้ด้วยความเพียรและอุตสาหะ” นั่นเป็นสิ่งที่ลุงจำมาจนถึงทุกวันนี้ หลังจากนั้นก็ได้ไปอยู่วัด สมัยที่เรียนมัธยม พระอาจารย์ท่านก็สอนพระพุทธศาสนาให้กับเรา มันทำให้เรามีแนวทางดำเนินชีวิต

เพราะเรารู้ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี อย่างศีล 5 มันเป็นพื้นฐานชีวิต เราละเมิดไป เราก็ไม่มีความสุข แต่ก็ไม่ใช่ว่าเคร่งเกินไป เราอยู่ในสังคมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น ข้อ 5 ห้ามดื่มสุราและของมึนเมา จริงๆ แล้วก็พอดื่มได้ ถ้าดื่มแล้วเรารู้ว่าทำอะไร มีสติสัมปชัญญะทุกประการ แต่อย่าให้มันมากก็เท่านั้นเอง คิดง่ายๆ ว่าเดินตามทางสายกลาง มัชฌิมาปฎิปทา ไม่ตึงไป ไม่หย่อนไป

ทุกวันนี้ลุงภูมิใจและมีความสุข ที่ได้อยู่ท่ามกลางพี่น้องเพื่อนฝูงที่รักทั้งหลาย อยู่อย่างไม่ต้องดิ้นรน ไขว่คว้าใดๆ บางคนอาจจะมองว่าลุงไม่เห็นจะมีอะไรเลย การศึกษาก็อย่างนั้น ฐานะบ้านช่อง ก็ไม่ได้ร่ำรวยหรือเกิดในตระกูลสูงอะไร มันไม่ได้สำคัญตรงนั้น มันสำคัญตรงที่เราทำตัวเองให้เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น ต่อตัวเอง ต่อส่วนรวมมากกว่า บางคนก็เกิดความโลภ เกิดตัณหา คิดแต่อยากได้โน่นนี่ ก็ยิ่งทุกข์เข้าไปใหญ่ เพราะคนเราไม่รู้สัจธรรมของชีวิต ไม่มีความสุขไม่มีสิ่งดีๆ ในหัวใจ ลุงได้อยู่แบบสบายๆ ไม่ได้ยึดติดอะไร พอใจในความพอเพียง”

ชีวิตคืออะไร
“สำหรับลุง คือการที่เราได้เกิดมา ได้มองดูโลก ได้เรียนรู้ ได้ศึกษาถึงความเป็นไปของโลก ซึ่งจริงๆ แล้วมันเป็นอนิจจัง ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นมา มีอยู่แล้วสลายไป ไม่ได้มีอะไรแน่นอนเลย ถ้าเราเข้าใจ เราก็จะเกิดปัญญา แล้วก็จะมีความสุข”

พูดถึงในฐานะคนไทย
“งูก็คืองู สัตว์ก็เป็นสัตว์ คนเราชาติหนึ่งได้เกิดมาเป็นคนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคนที่ไหนก็อย่าได้ลืมบ้านเกิดเมืองนอน ถิ่นให้กำเนิดตัวเองเลย คนเราทุกคนล้วนเหมือนกัน อย่าได้ไปดูถูกคนอื่นเขา เพราะเรากับเขาก็มีเท่ากัน เป็นคนเหมือนกัน และที่สำคัญที่สุด คือ ความกตัญญูกตเวที ต่อพ่อแม่นี่เราถูกสอนให้ทำอยู่แล้ว และให้นึกเสมอว่าเราเกิดบนแผ่นดินไทย อย่าลืมว่าเราเป็นคนไทย ถึงจะไปอยู่ที่อื่นนานแค่ไหนก็ตาม เราได้รับความสงบร่มเย็น อยู่อย่างเป็นสุขจนทุกวันนี้ ก็ไม่อยากให้ลืมบุญคุณแผ่นดินไทย มีอะไรที่ช่วยเหลือได้ก็สมควรทำ”

ฝากอะไรถึงเยาวชนบ้าง
“อยากให้เยาวชนสมัยนี้ ลองศึกษาพระพุทธศาสนาดูบ้าง เพราะมันจะเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต และผ่านพ้นปัญหาต่างๆ ไปได้ ถ้าทุกคนมีศีล อยู่ในขอบเขตปฏิบัติ ทุกคนก็จะมีความสุขเอง เงินทอง ลาภ ยศ สรรเสริญมันเป็นของนอกกาย มีเงินมีทองมาก แต่หาความสุขไม่ได้มันก็มีอยู่เยอะ เพียงแค่เรารู้จักวิถีแห่งความพอเพียง มีศีล และดำเนินชีวิตอย่างมีสติ และจงตั้งมั่น ซื่อตรงต่อเป้าหมายของตัวเองว่าอยากมาทำอะไร ค้นหาอะไร แล้วก็ไปตามนั้นให้สำเร็จ และให้รักกัน ปรองดองกัน คิดถึงส่วนรวมให้มาก แล้วชีวิตเราจะมีความสุข”

ราษฎรอาวุโส จากการผ่านโลกมากว่า 82 ปีของคุณลุงทองบ่อ ทำให้ประสบการณ์นั้นตกตะกอนเป็นปรัชญาและคำสอนซึ่งสอดแทรกอยู่ในทุกๆ บทสนทนา หากผู้อ่านได้คิดตามไปด้วยแล้ว สิ่งเหล่านั้นจะก่อให้เกิดปัญญาและแนวทางชีวิตที่เป็นประโยชน์ต่อไป