วัดคินคะคุจิ วันที่สองของการเดินทาง เรามีจุดหมายอยู่ที่เมืองเกียวโต เมืองหลวงเก่าที่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของตนเองได้อย่างดี โดยเฉพาะสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นวัดและศาลเจ้าเก่าแก่ที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก
การเดินทางไปยังเมืองเกียวโตนั้น เราใช้รถไฟชินคันเซ็น ซึ่งใช้เวลาในการเดินทางประมาณเกือบสามชั่วโมงจากโตเกียว ด้วยตั๋วรถไฟ JR Pass ความน่าสนใจของเมืองเกียวโตนั้นอยู่ตรงตึกรามบ้านช่องที่ยังเป็นแบบโบราณ รวมทั้งวัดและศาลเจ้าที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ของการมาเยือนเมืองนี้เลยทีเดียว

สถานที่แรกที่พวกเราเลือกไปกันก็คือ วัดคินคะคุจิ หรือสถานที่ ที่ใครๆ หลายคนรู้จักในนามพระราชวังของท่านโชกุนอาชิกางะในเรื่องอิคคิวซังนั่นเอง วัดนี้ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1397 จากนั้นได้ถูกลอบวางเพลิง และถูกสร้างขึ้นมาใหม่ในปี 1955 ก่อนมีการบูรณะอีกครั้งในปี 1990 สำหรับการเดินทางมายังวัดนี้ เราสามารถใช้ตั๋ว JR Pass จากสถานีเกียวโตมาลงที่สถานี Enmachi แล้วนั่งรถบัสต่อไปอีกประมาณ 10 นาทีก็จะถึงหน้าวัดเลย

เมื่อเดินเข้ามาถึงตัววัด ด้านหน้าจะเป็นซุ้มเก็บค่าผ่านประตู ซึ่งผู้ใหญ่ตกคนละประมาณ 4.20 เหรียญ เมื่อเดินผ่านประตูวัดเข้ามาก็จะพบกับวัดที่มีลักษณะคล้ายปราสาทสีทอง เหลืองอร่ามตั้งอยู่กลางสระน้ำที่มีการตกแต่งแบบสวนญี่ปุ่นขนานแท้ บริเวณนี้จะเป็นจุดสนใจของนักท่องเที่ยวให้มาถ่ายรูปกันเป็นจำนวนมาก และเมื่อเดินผ่านโซนนี้ไปแล้วก็จะเป็นโซนที่ให้นักท่องเที่ยวได้แวะไหว้พระ ขอพร รวมทั้งมีร้านขายขาเขียวหอมกรุ่นให้ได้นั่งดื่มและพักชมความร่มรื่นในบริเวณวัดกัน

เมื่อเที่ยวชมวัดแรกได้พอหอมปากหอมคอ เราก็เดินทางต่อไปที่ ศาลเจ้าฟุชิมิอินาริ หรือศาลเจ้าพ่อจิ้งจอกขาว ซึ่งได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากเช่นกัน เมื่อมาถึงศาลเจ้าพ่อจิ้งจอกขาว สิ่งแรกที่ทุกคนจะได้เห็นก็คือ ประตูศาลเจ้าสีแดง ตั้งเด่นเป็นสง่าให้ผู้ที่ผ่านไปมาได้เห็นกันอย่างชัดเจน

ความอลังการงานสร้างของศาลเจ้านี้อยู่ตรงประตูศาลเจ้าด้านในของวัดที่ทำจากไม้ เรียงรายรวมระยะทางหลายกิโลเมตร ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความศรัทธาของชาวบ้านที่ช่วยกันสร้างศาลเจ้านี้ เพื่อบูชาสุนัขจิ้งจอกและให้เป็นทูตส่งสารไปยังเทพเจ้าเพื่อขอให้การทำนาได้ผลผลิตดี ได้ข้าวที่มีคุณภาพ จนบริเวณนี้ถือเป็นแหล่งปลูกข้าวที่มีคุณภาพมากที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น
วัดชื่อดังอีกแห่งที่ไม่ควรพลาดหากมาเยือนเกียวโตก็คือ วัดคิโยมิสึเดระ ซึ่งความอลังการก็ไม่ได้ด้อยไปกว่า 2 สถานที่แรกเลย ส่วนการเดินทางนั้น ยังสามารถใช้ตั๋ว JR Pass ไปลงที่สถานี Kiyomizu Gojo แล้วเดินต่ออีกประมาณ 25 นาที ซึ่งอาจดูว่าเดินไกลไปนิด แต่ตลอดสองข้างทางไป
”ข้อแนะนำอีกอย่างสำหรับการมาเที่ยวที่เกียวโต ก็คือการได้ลิ้มลองขนมยัทสึฮาชิ ขนมท้องถิ่นของคนในย่านนี้ ที่ไส้ทำจากถั่วแดง แล้วห่อด้วยแป้งหลากหลายรสชาติ หาซื้อได้ตามแหล่งท่องเที่ยวและสถานีรถไฟเกียวโต ”
จนถึงทางเดินเข้าวัด จะมีร้านค้าเรียงราย ทั้งของฝาก ของที่ระลึก ขนม ของตกแต่งบ้านซึ่งรับรองว่า เดินกันเพลินไม่มีบ่นว่าเมื่อยแน่นอน วัดนี้จะเสียค่าเข้าชมประมาณ 3.20 เหรียญ เมื่อเข้าไปภายในวัด จะเห็นตัววัดที่ตั้งอยู่บนไหล่เขา โดยมีระเบียงไม้ยื่นออกไป โดยมีต้นซุงขนาดใหญ่นับร้อยต้นเป็นฐานรับน้ำหนักของตัววัดไว้

ภายในวัดคิโยมิสึเดระ จะแวดล้อมไปด้วยหมู่มวลแมกไม้อยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งในช่วงดอกซากุระบานหรือดอกไม้เปลี่ยนสี วัดนี้จะกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของเมืองเกียวโตอย่างไม่ต้องสงสัย หลังจากไหว้หระ ขอพร และเดินเล่นชมความงามของวัดคิโยมิสึเดระอยู่ได้ไม่นานก็ต้องจากลา เพื่อกลับสู่ที่พักและรอรับประทานอาหารเย็นที่ทางโรงแรมจัดไว้ให้ตามเวลาที่กำหนด

เมื่อพูดถึงที่พักแล้ว คืนนี้เราเลือกที่พักเป็นแบบ เรียวกัง คือเป็นที่นอนแบบญี่ปุ่น มีบ่อน้ำร้อน และอาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมให้ทาน ซึ่งหากมาเที่ยวญี่ปุ่นกันแล้ว ควรต้องลองพักเรียวกังกันสักครั้ง และเมื่อเวลาอาหารเย็นมาถึง อาหารญี่ปุ่นที่ถูกจัดเตรียมไว้ก็ถูกนำมาเสิร์ฟเป็นเซ็ตๆ

เที่ยวเกียวโต สำหรับแขกที่มาพักละท่าน ความพิเศษของอาหารตามสไตล์เรียวกังนั้นเป็นอาหารญี่ปุ่นที่หาทานได้ยากและมีราคาแพงพอสมควร เนื่องจากใช้วัตถุดิบชั้นดี เน้นการตกแต่งจานและการจัดวางอย่างปราณีต ข้อแนะนำอีกอย่างสำหรับการมาเที่ยวที่เกียวโต ก็คือการได้ลิ้มลองขนมยัทสึฮาชิ ขนมท้องถิ่นของคนในย่านนี้ ที่ไส้ทำจากถั่วแดง แล้วห่อด้วยแป้งหลากหลายรสชาติ หาซื้อได้ตามแหล่งท่องเที่ยวและสถานีรถไฟเกียวโต