Home บทความอยู่ออส สายใยรักจากพ่อ ความสัมพันธ์ในแบบต่างเงื่อนไข

สายใยรักจากพ่อ ความสัมพันธ์ในแบบต่างเงื่อนไข

by ChaYen
สายใยรักจากพ่อ

สายใยรักจากพ่อ ความผูกพันระหว่างพ่อกับลูก เป็นสิ่งที่แสดงถึงลักษณะพิเศษ เราขอนำเสนอความรัก ความผูกพันธ์ของพ่อในแบบฉบับต่างแบบต่างเงื่อนไข แต่ยังคงไว้ซึ่งความ รักความผู้พันธ์ที่ไม่เคยจางหายไปไหน

หากมีใครให้ท่านผู้อ่านเขียนนิยามของคำว่า พ่อ หลายคนอาจทำได้ไม่ยากนัก ในทางกลับกันอาจเป็นงานยากของใครอีกหลายคน แต่ที่เราทุกคนสัมผัสได้ถึงความรักของพ่อที่มีต่อลูก ไม่ว่าอยู่ในเงื่อนไขใดๆ ก็ตาม สิ่งนี้คือสิ่งที่เป็นสายใย และความผูกพันธ์ที่ไม่มีวันขาด ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ครอบครัวอยู่กันอย่างมีความสุข และเติมเต็มซึ่งกันและกัน

สายใยระหว่างพ่อกับลูก ในวันที่ไม่มีแม่

สายใยรักจากพ่อ

ครอบครัวที่อบอุ่นนั้นย่อมต้องมีองค์ประกอบที่ครบสมบูรณ์ พ่อ แม่ ลูก และเมื่อสิ่งหนึ่งขาดหายไป อาจทำให้สายใยระหว่าง ครอบครัวนั้นสั่นคลอน โดยเฉพาะในวันที่ผู้เป็นแม่ไม่อยู่แล้ว สิ่งหนึ่งที่ขาดหายไปอาจทำให้ความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว ห่างกันไปด้วย แต่สิ่งนี้ไม่เกิดขึ้นกับครอบครัวสุทธยาคม

คุณติ่งกับภรรยาเริ่มต้นสร้างครอบครัวที่ออสเตรเลียแห่งนี้กว่า 40 ปี จนมีลูกสาว คุณทิพย์ และลูกชาย คุณท็อป จนกรทั่งวันนึงภรรยาคุณติ่งก็จากโลกนี้ไปเมื่อเกือบ 20 ปีมาแล้ว ครอบครัวสุทธยาคมก็ยังคงอยู่ด้วยกัน ทำกิจกรรมร่วมกันและสานสัมพันธ์ครอบครัวได้เหมือนเดิม

คุณติ่ง “ตอนที่แม่เขาเสียไป แน่นอนว่าทุกคนก็ย่อมเสียใจ ตอนนั้นท็อปอายุ 17 แล้ว ทิพย์อายุ 20ปี เขาโตมากพอที่ดูแลตัวเองกันได้แล้ว ผมไม่ต้องมาเหนื่อยเหมือนดูแลเด็กเล็กๆแล้ว แต่ก็ถือว่ายิ่งน่าเป็นห่วง เพราะเขายังเป็นวัยรุ่น เจอทั้งผู้คนและสังคมที่หลากหลาย และอาจเจอสถานการณ์อะไรที่เราเข้าไม่ถึง

“ตอนที่แม่เขาเสียไป ถึงจะเสียใจมากแค่ไหน ลูกผมทั้งสองก็ผ่านพ้นมาได้ และยังคงเป็นเด็กดี ฉะนั้น ต่อไปนี้ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดๆขึ้นก็ตาม ผมเชื่อมั่นว่าลูกทั้งสองคนของผมจะสามารถผ่านพ้นทุกปัญหาไปได้”

ChaYen
Ting

ตอนนั้นผมก็ยังคงเป็นหลักครอบครัวที่ดีให้กับลูกๆ เหมือนที่เคยเป็นมา กิจกรรมอะไรที่เคยทำร่วมกัน ก็ยังดำเนินต่อไปปกติ อยู่ด้วยกันตลอดเวลา ทำกับข้าว รับประทานอาหาร ช็อปปิ้ง ดูหนัง เล่นกีฬา ดูกีฬานอกบ้าน และก็ไปท่องเที่ยวกัน ผมรู้สึกว่าผมให้เวลากับเขามากขึ้น ทั้งลูกชายและลูกสาวจึงมักพูดคุยกับผมในทุกเรื่อง ปรึกษากันทุกเรื่อง มันทำให้เรารู้สึกว่า เรายังคงใกล้ชิดและรักกันเหมือนเดิม”

คุณท็อป “ผมกับพ่อคุยกันทุกเรื่องเลยครับ ไม่ว่าจะกีฬางาน การเมือง หรือแม้แต่พากันไปคาสิโน (หัวเราะ) พี่สาวผมก็ชอบไปเที่ยว ไปทำกิจกรรมนอกบ้านอยู่แล้วคอนเสิร์ตเจ๋งๆ หรือกีฬาแมทสำคัญๆ นี่เราจะไม่พลาดกันเลย ยกครอบครัวไปเชียร์กันขอบสนามบ่อยๆ”

คุณติ่ง “ผมไม่ได้อายที่จะแสดงความรักกันนะไม่ว่าลูกชาย ลูกสาวจะโตกันแค่ไหนแล้วก็ตาม กอดกัน หอมแก้มกันเป็นปกติและไม่ค่อยได้ทะเลาะกัน จำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำครับ ว่าทะเลาะกันครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ เพราะเขาโตๆ กันจนรับผิดชอบตัวเองได้เป็นอย่างดี ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วงเลย ถ้าจะห่วง ผมว่าผมคงต้องเริ่มห่วงตัวเองมากกว่า เพราะอายุมากขึ้นแล้ว” (หัวเราะ)

เผยถึงเคล็ดลับในการเลี้ยงลูกให้เราฟังว่า

ที่ลูกๆผมเติบโตเป็นคนดีและทำให้ผมชื่นใจขนาดนี้ ไม่ใช่เพราะผมคนเดียวแน่นอน ผมกับภรรยาเราช่วยกันอบรมสั่งสอนลูก และไม่ใช่ว่าเรามาสอนกันตอนเขาโตนะ เราต้องสอนกันตั้งแต่เขาเล็กๆ แล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เราต้องสอนให้เขาเชื่อฟังเราก่อน แต่ไม่ใช่ว่าสอนให้ฟังเราโดยไม่ได้คิดพิจารณาอะไร ที่ให้เขาฟังเราเพราะเราอาบน้ำร้อนมาก่อน รู้ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี เป็นแนวทางให้เขาได้คิด ส่วนที่เหลือ เขาโตมากับสังคมฝรั่ง เขามีวิจารณญาณที่จะคิดพิจารณาในทุกเรื่อง

สายใยรักจากพ่อ

สิ่งที่ผมกับภริยาบ่มเพาะมาตั้งแต่เล็กนั้น ทำให้เขาแกร่งและยืดยันได้ในทุกสถานการณ์ แม้แต่ตอนที่แม่เขาเสียไป ถึงจะเสียใจมากแค่ไหน ลูกผมทั้งสองก็ผ่านพ้นมาได้ และยังคงเป็นเด็กดี ฉะนั้น ต่อไปนี้ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดๆขึ้นก็ตาม ผมเชื่อมั่นว่าลูกทั้งสองคนของผมจะสามารถผ่านพ้นทุกปัญหาไปได้ สิ่งนี้และที่ทำให้ผมรู้สึกว่า ผมไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงเขาอีกเลย”

และสุดท้ายนี้ คุณท็อปจึงฝากบอกคุณพ่อว่า “ผมก็อยากให้พ่อดูแลตัวเองมากๆและผมอยากขอบคุณพ่อครับ ขอบคุณที่เป็นพ่อที่รักลูกมาก ขอบคุณที่เลี้ยงผมมาอย่างดี ขอบคุณที่สอนผมเล่นฟุตบอล และขอบคุณสำหรับทุกๆ อย่างที่ทำให้ชีวิตผมมีความสุขครับ”

คุณติ่ง “ผมก็ไม่รู้จะพูดอะไร ผมรักลูกโดยปกติ โดยธรรมชาติของคนเป็นพ่ออยู่แล้ว ถึงไม่มีแม่ก็ไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวเราจะห่างกัน ผมดีใจที่ได้เป็นพ่อ และภูมิใจที่ลูกๆเติบโตขึ้นมาเป็นคนที่ดีแบบนี้ครับ”


ความรักอันบริสุทธิ์ ในแบบของพ่อเลี้ยง

คุณแก่น

ในหลายครอบครัวที่อาจประสบปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกที่ไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน แต่สำหรับคุณพ่อ แก่นแก้ว อินทเกษร และคุณลูก ชลาลัย ไชยงวศ์คตแล้ว ครอบครัวนี้คือตัวอย่างของพ่อลูกที่อยู่ร่วมกันท่ามกลางครอบครัวที่อบอุ่นที่มีให้กันเสมอมา ตั้งแต่เขาทั้งสองพบกันในครั้งแรก

คุณแก่นพบรักและแต่งงานกับอาจารย์หลิน หรือที่รู้จักกันในนามหมอดูไพ่ยิปซีชื่อดัง มาเกือบ 30 ปีแล้ว หลังจากแต่งงานได้สักพัก อาจารย์หลินก็ทำเรื่องให้ลูกสาวย้ายมาอยู่ด้วยกัน น้องมะปรางเองยังจำความได้ว่า “ตอนนั้นคุณแก่นกับคุณแม่มาเยี่ยมเรา ทุกครั้งที่มาก็จะซื้อของเล่น ซื้อขนมมา ให้ เราก็ดีใจ พอยิ่งได้เจอบ่อยขึ้นตอนทำเรื่องที่จะย้ายมาอยู่ที่นี่ก็รู้สึกได้ว่า คุณแก่นดูแลแม่เราได้เป็น อย่างดี ซึ่งคิดว่าถ้าแม่อยู่กับบใครแล้ว สบายใจเราก็ยินดี และจำได้ว่า บ่อยครั้งที่มีงานโรงเรียคุณแก่นกับแม่ก็จะบินมาดูเราเต้น แล้วก็ถ่ายวีดีโอเก็บไว้ด้วย เอามาเปิดดูทีไรก็ประทับใจค่ะ”

สำหรับตัวคุณแก่นเองมองว่า มะปรางในตอนนั้น เป็นเด็กฉลาด พูดเก่งคุยเก่ง รู้กาละเทศะ บอกสอนอะไรก็เข้าใจง่าย พูดครั้งเดียวก็เข้าใจ และคิดเสมอว่าเมื่อย้ายไปอยู่ด้วยกันแล้ว คงจะกลายเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์และอบอุ่นไม่แพ้ครอบครัวอื่นแน่นอน “ผมดีใจนะที่มีลูกคนนี้มาอยู่กับเรา ผมคิดเสมอว่า คนเราเกิดมามีทั้งบุญและกรรม พอเกิดมาแล้วได้มาได้อยู่ด้วยกัน ในครอบครัวเดียวกัน เรียกว่าพ่อลูกกัน เราต้องมีบุญด้วยกัน ผมเชื่ออย่างนั้น จริงอยู่ว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่สายเลือด แต่เขาก็รู้จักวางตัว ว่าควรจะพูดอะไร ทำอะไรให้ผมกับแม่สบายใจ”

สายใยรักจากพ่อ

ช่วงที่มาอยู่กันแรกๆ ต่างคนต่างก็ทำงาน ต่างคนต่างมีหน้าที่ของตัวเอง แต่คุณแก่นก็ไม่ลืมที่จะทำหน้าที่ ไปรับไปส่งที่โรงเรียนเรียนภาษาที่อยู่ไกลจากบ้านมาก อยู่ที่บ้านก็มีการตั้งกฎที่ไม่ให้พูดภาษาไทยเพื่อต้องการให้ลูกได้ฝึกพูดภาษาอังกฤษ และสิ่งที่คุณแก่นสอนลูกนั้นจะเป็นเรื่องความรับผิดชอบ สอนลูกเรื่องคุณค่าของเงิน

ตอนเด็กๆ เสาร์อาทิตย์ก็จะให้ลูกไปทำงานที่ร้านถ่ายรูป เพราะอยากให้ลูกรู้ว่าเงินหายากยังไง แล้วเงินสำคัญกว่าการใช้ชีวิตคนเราอย่างไร นอกจากนั้น สิ่งที่เราได้นอกเหนือจากเงินก็คือเรามีสังคม ได้เรียนรู้ที่จะเข้ากับเพื่อนร่วมงาน “ผมก็ไม่ได้บังคับว่าต้องไปทำนะ แต่อธิบายให้ฟังว่าทำไมถึงอยากให้ไปทำงาน ผมคิดว่า คนเราก็เปรียบเสมือนมีด นานๆ ลับมีดทีมันก็จะไม่คม แต่ถ้าลับบ่อยเกินไปหรือลับแบบโหดเกินไป ผลที่ได้ก็ไม่ดี ฉะนั้นลับให้คมพอดีๆ เรารักลูกแต่ไม่ใช่จะไปตามใจลูกเกินไป อยากได้ของก็ต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน เช่น ช่วยทำงานบ้าน หรือจะออกให้คนละครึ่ง เพื่อให้เขาเห็นคุณค่าของสิ่งของที่จะซื้อ”

“คนเราไม่จำเป็นจะต้องเป็นสายเลือดเดียวกันหรือญาติกัน แล้วค่อยให้ความรักให้ความช่วยเหลือ เราเกิดมาเป็นคนแล้วถ้าเรามีโอกาสช่วยคนๆ นั้นได้ ช่วยไปเถอะอย่าไปคิดมาก”

ChaYen

สำหรับตัวคุณลูกเองก็รู้สึกได้ถึงสิ่งที่คุณพ่อสอนตรงนี้ ว่าเป็นประโยชน์กับการใช้ชีวิตเพียงใด “ตอนที่ไปทำงานที่ร้านอาหาร จะรู้ได้เลยว่าเรามีความคิดที่โตกว่าคนอื่น ทั้งๆ ที่เขาอายุมากกว่า แต่เราสามารถแก้ไขปัญหาได้ดีกว่าคนอื่น เพราะจริงๆ แล้ว เราเริ่มทำงานตั้งแต่ตอนอายุ 13 แล้วค่ะ แรกๆ พ่อกับแม่มาดูแลได้เกือบปี แล้วจากนั้นก็ปล่อยให้ทำเอง ต้องรับผิดชอบทุกอย่าง แต่เขาก็ไว้ใจนะ ว่าเราต้องทำได้”

สายใยรักจากพ่อ เรื่องความเห็นไม่ตรงกันของพ่อลูกคู่นี้ อาจมีบ้างแต่ไม่เคยทะเลาะกันจนกลายเป็นเรื่องใหญ่ แค่อาจจะเป็นเพียงเรื่อง ลืมปิดไฟ ความสะอาดความเป็นระเบียบเรียบร้อยภายในบ้านที่คุณพ่อก็จะคอยบอก “ของบางอย่างต้องปล่อยให้ลูกคิดเอง ให้ลองทำ ว่าทำได้มั้ย ถ้าทำแล้วมันผิดเกินไป เราก็ต้องบอกสิ่งที่ถูก แล้วเราให้คำแนะนำว่าเป็นอย่างนี้จะดีกว่ามั้ย เราพ่อลูกมันคนละช่วงอายุกัน ฉะนั้นเรื่องความเห็นต่างกันนั้นเป็นเรื่องปกติ”

การแสดงออกซึ่งความรักของครอบครัวนี้ จะไม่มีอะไรปิดบัง “ผมจะพูดกับลูกเสมอว่า พ่อรักลูกนะ ให้ลูกดูแลตัวเองนะ เขาก็จะรู้สึกได้ว่าเรารักเขานะ ลูกจะรู้สึกอยากทำในสิ่งที่ดี เพื่อให้พ่อแม่ได้สบายใจ ส่วนมะปรางเองเขาก็จะไม่ค่อยอาย มีไรกบ็ อกเลย รวมทั้งจะซือ้ ของขวัญให้
ผมในวันสำคัญๆ เสมอ” ส่วนกิจกรรมที่ทำร่วมกันในครอบครัว คงหนีไม่พ้นเรื่องการทำบุญ เพราะครอบครัวนี้ ขึ้นชื่อเรื่องการทำบุญอยู่แล้ว “ส่วนมากจะไปตระเวนทำบุญ ไหว้พระ 9 วัด ทั้งที่นี่และที่เมืองไทย แล้วก็จะกลับไทยด้วยกันปีละครั้ง ถ้าหากมีงาน กฐิน ผ้าป่า หล่อพระ แล้วลูกไปไม่ได้ก็จะฝากปัจจัยไปช่วยตลอด”

สายใยรักจากพ่อ

แง่คิดดีๆ ที่ทั้งสองทิ้งท้ายไว้เพื่อให้สมาชิกในครอบครัวอยู่กันอย่างมีความสุขก็คือ “คนเราไม่จำเป็นจะต้องเป็นสายเลือดเดียวกัน หรือญาติกันแล้วค่อยให้ความรัก ให้ความช่วยเหลือ เราเกิดมาเป็นคนแล้ว ถ้าเรามีโอกาสช่วยคนๆ นั้นได้ ช่วยไปเถอะ อย่าไปคิดมาก ถ้าคิดมากเราจะช่วยคนๆ นั้นได้ไม่ร้อยเปอเซ็นต์ รุ่นคุณพ่อของผม เขาจะช่วยกันอย่างจิงจังและจริงใจ โดยไม่ได้หวังผลตอบแทนผมว่ามันเป็นสิ่งที่ดี สังคมมันมีสิ่งที่ดีและไม่ดีปะปนกัน

แต่ถ้าคนเราคิดดีทำดีต่อกัน สังคมย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีแน่นอน” ส่วนน้องมะปรางคิดว่า “ต้องมีเหตุผลทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่ว่ามีทิฐิต่อกัน ต้องคุยกันด้วยเหตุผล ตัวคนที่เป็นลูกก็ควรจะฟังพ่อก่อน สมมติว่าพ่อเขาพูดอะไรแล้ว เราก็ควรต้องฟังที่พ่อพูดก่อน แล้วต้องคิดว่าเขาพูดเพราะเป็นห่วงหรือพูดเพราะอะไร ไม่ใช่ใช้ทิฐิว่าคนนี้ไม่ใช่พ่อเรา เราก็ไม่ต้องไปสนใจฟัง และสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือแม่ ด้วยเพราะเรารักแม่ เขาก็รักแม่ บางอย่างก็ต้องยอมรับฟังความคิดเห็นกันบ้าง เพื่อให้ทุกคนในครอบครัวอยู่กันอย่างมีความสุข”


สายใยแห่งความรัก ที่มาพร้อมความใส่ใจ

สายใยรักจากพ่อ

ครอบครัวพีรมธุกร อาจจะเป็นเพียงครอบครัวธรรมดาๆครอบครัวหนึ่งที่อาศัยอยู่ในออสเตรเลียตามประสาพ่อแม่และลูกอีกสอง แต่สิ่งที่น่าสนใจของครอบนี้ก็คือมุมมองในการเลี้ยงดูที่ตัวคุณพ่อเองบอกว่า เป็นแบบยืดหยุ่น ที่ไม่ตึงและไม่หย่อนจนเกินไปด้วยบุคลิกของตัวคุณพ่อกิตติ พีรมธุกร แล้วจะเป็นคนนิ่งๆ ใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย จึงทำให้สิ่งที่คุณพ่อสอนลูกทั้งสองเสมอก็คือ การใช้ชีวิตแบบธรรมดา เป็นคนตรงต่อเวลาและอย่าคิดว่าเราเป็นคนพิเศษเหนือใคร ซึ่งตรงนี้เองอาจขยายความได้ว่า การทำอะไรก็ตาม เราควรมีการจัดการเวลาที่ดี ทั้งเรื่องการเรียน เรื่องงาน อย่างเช่น นัดกับใครไว้ ก็ไม่ควรที่จะให้คนอื่นต้องมารอ ซึ่งคุณลูกทั้งสอง ธาราและคริส จะยึดถือคำสอนนี้มาตลอ

“ในยามเมื่อมีปัญหา เราก็จะให้เงียบกันไปก่อนทั้งผมและคุณแม่ (กิตติมาภรณ์) พออารมณ์เย็นลงแล้วค่อยมาคุยกันด้วยเหตุผลว่าปัญหาที่เกิดคืออะไร ถ้าลูกเป็นคนผิด ลูกควรจะไปขอโทษมั้ย ซึ่งพ่อแม่ก็ไม่ใช่คนที่ถูกเสมอไป ผมเลี้ยงลูกแบบทั้งตามใจและก็ปล่อยนะ เช่น ลูกอยากไปปาร์ตี้เพื่อน ผมก็ให้ไป แต่ไม่ใช่ว่าให้ไปบ่อยๆ ทุกอาทิตย์ เราก็ต้องมีข้อแม้ว่า ผมจะไปรับไปส่งและพอตอนอยู่ในงานปาร์ตี้ก็ให้โทรหาด้วย ซึ่งที่ผ่านๆ มาก็เป็นแบบนี้ ก็ไม่มีปัญหาอะไร ต่างคนต่างเข้าใจซึ่งกันและกัน”

Kitti

ชีวิตในวันว่างของครอบครัวนี้ก็จะง่ายๆ ไปไหนก็ไปด้วยกัน ไปทานข้าวนอกบ้าน ไปไหว้พระ ไปว่ายน้ำบ้าง นอกจากนั้นก็จะเป็นกิจกรรมงานบ้านที่ทุกคนจะช่วยกัน เช่น ซักผ้า เก็บผ้า ทำความสะอาดบ้าน ล้างจาน และงานที่ร้านแซนวิช คริสจะไปช่วยขนของจัดของ เตรียมของเล็กน้อยๆ ในวันเสาร์ ส่วนธาราจะมาช่วยที่ร้านในช่วงปิดเทอม

“อย่างล่าสุด ลูกสาวโทรมาจากแคนเบอร์ร่าด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยดี เราก็จะเป็นห่วงเพราะรู้เลยว่าเขากำลังมีปัญหา ก็เลยตกลงกันทั้งครอบครัวก็ไปเซอร์ไพรส์ลูกสาวกันที่นั่น เพราะทุกคนจะสนิทกันมาก ซึ่งผมเองจะปลูกฝังลูกตั้งแต่เล็กเสมอว่าครอบครัวเราตรงนี้ เรามีกันสี่คนพ่อแม่ลูก ถ้าพ่อแม่เป็นไรให้ดูแลพี่น้องกันให้ดี เพราะเราจะเหลือกันแค่สองคน มีอะไรก็ขอให้คิดถึงคนสี่คนนี้เป็นหลัก จนทุกวันลูกสาว บอกถ้าเขาเรียนจบแล้วเขาจะส่งเสียน้องเรียนเองถ้าเขามีงานทำ แล้วก็อยากให้พ่อแม่สบาย ไม่อยากให้ทำงานเหนื่อยอีกแล้ว”

Kitti

“การใช้คำพูดในการสั่งสอนลูกหรือคุยกับคนในครอบครัวก็สำคัญควรพูดด้วยความสุภาพ ไม่ใช้คำหยาบคายและสอนด้วยเหตุผลแทนคำด่าที่ฟังแล้วสะเทือนใจซึ่งทั้งพ่อและแม่ก็ควรจะต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูกในเรื่องต่างๆ”

ChaYen

“ส่วนเรื่องการเรียน เราก็จะสนับสนุนเต็มที่ บางครั้งพอลูกๆมีปัญหาหรือข้อสงสัย ถ้าเราช่วยหาคำตอบให้ได้ก็จะช่วย แต่ถ้าไม่ได้ก็จะโทรถามเพื่อนที่เขามีความรู้แล้วค่อยมาอธิบายให้ลูกฟังอีกที ตอนเด็กๆ ลูกสาวเลี้ยงง่ายมาก ไม่เหมือนลูกชาย ซึ่งผมจะเราจะหาของเล่น หรือหนังสือที่ช่วยพัฒนาเขา ซึ่งอาจเป็นเพราะตอนคุณแม่ตั้งท้องลูกสาว ก็จะนั่งสมาธิฟังเพลงเบาๆ ลูกสาวจึงเป็นคนที่มีสมาธิที่ดี แต่พอตั้งท้องลูกชายแล้วไม่ค่อยมีเวลา ลูกชายตอนเล็กๆ จะงอแงกว่าพี่หน่อย ลูกสาวเป็นคนเรียนดีมาตั้งแต่เล็กๆ ไม่ต้องไปจ้ำจี้จ้ำไช ถ้าเขาต้องการข้อมูลอะไรเขาก็จะหาในเน็ต จนได้รับรางวัลเหรียญทองในฐานะเรียนดีจาก Governor General ซึ่งเป็นคนแรกของโรงเรียนที่เรียนในขณะนั้น

Kitti

ปัจจุบันธาราเรียนคณะกฎหมายอยู่ที่ Australian National University ที่ Canberra ส่วนคริสก็เรียนดีเช่นกัน แต่ช่วงนี้ติดเพื่อนแล้วก็ติดเกมส์ ซึ่งลูกชายจะมีปัญหาแค่เรื่องเกมส์และการบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นไม่มี ซึ่งเราก็จะบอกเสมอว่าให้ตั้งใจเรียน เพราะพ่อแม่ไม่สามารถดูแลได้ตลอดชีวิต ถ้าไม่ตั้งใจเรียนโอกาสจะไปสอบแข่งขันกับใครก็คงยาก เราในฐานะพ่อแม่ก็พยายามจะดึงเขาว่าเราใกล้ที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ถ้าวิชาไหนอ่อน ก็แนะนำให้ไปเรียน แต่เขาก็บอกแล้วว่าจะปรับปรุง เราก็รอดู ถ้าไม่ดีขึ้นก็ควรจะไปเรียน จริงๆ แล้ว เราไม่ได้ไปบังคับลูกนะ ถ้าไปบังคับ มันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาเสียเงินเปล่าๆ ผมจะให้เหตุผลมากกว่าว่าทำไมถึงควรไปเรียนบางครั้งถ้าเขามีปัญหา ลูกชายก็จะโทรไปถามพี่สาวเพื่อขอคำปรึกษา”

การรักษา สายใยรักจากพ่อ ความสัมพันธ์ที่ดีของครอบครัวนี้ คุณกิตติจะใช้ความยืดหยุ่น ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป ด้วยวัยที่ต่างกัน คนเป็นพ่อก็ควรรับฟังลูกในบางเรื่อง ตามใจลูกในบางเรื่อง คุยกันด้วยเหตุผล ปล่อยอะไรได้ก็ควรปล่อยบ้าง แต่ควรดูอยู่ห่างๆ ถ้ามัวแต่ห้ามไม่ให้ไปหรือไม่ให้ทำอะไรเด็กก็จะเก็บกดแต่ถ้าให้ไปแล้วไม่ห้ามอะไรเลยเด็กก็จะเลยเถิด ให้บ้างไม่ให้บ้าง ซึ่งคุณกิตติได้ทิ้งท้ายข้อคิดดีๆ ไว้ดังนี้

“ในฐานะที่ของความเป็นพ่อนั้น เวลาลูกไปไหนมาไหน ไม่ได้อยู่ในสายตา เราก็เป็นห่วง กลัวว่าจะไปกินเหล้าสูบบุหรี่ หรือทำสิ่งไม่ดี ซึ่งครอบครัวผมโชคดีที่ไม่มีคนดื่มเหล้า สูบบุหรี่ บางอย่างอยู่ในสายตา เราก็ให้เขาลองดื่มดูว่าเป็นอย่างไรพอเขาลองแล้วไม่ชอบ เขาก็จะไม่แตะมันอีก การใช้คำพูดในการสั่งสอนลูกหรือคุยกับคนในครอบครัวก็สำคัญ ควรพูดด้วยความสุภาพ ไม่ใช้คำหยาบคาย และสอนด้วยเหตุผลแทนคำด่าที่ฟังแล้วสะเทือนใจ ซึ่งทั้งพ่อและแม่ก็ควรจะต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูกในเรื่องต่างๆ”

Related Articles