เที่ยวนาโกย่า และเมืองโอซาก้า จากลาญี่ปุ่นที่ฮาโกเน่ เมืองนาโกย่าเป็นเมืองใหญ่อันดับ 4 ของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางการค้าการขนส่งที่สำคัญ
หลังจากที่ตื่นตาตื่นใจกับความงดงามของเมือง Takayama กันไปแล้ว เราก็เดินทางกลับสู่เมืองนาโกย่าเพื่อเข้าไปชมเมืองที่น่าสนใจกันต่อ เมืองนาโกย่าเป็นเมืองใหญ่อันดับ 4 ของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางการค้าการขนส่งที่สำคัญและเป็นเมืองที่เชื่อมต่อระหว่างเมืองหลวงกับเมืองอื่นทางด้านใต้ของประเทศ นอกจากนี้นาโกย่ายังเป็นเมืองอุตสาหกรรมที่สำคัญอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น บริษัทรถยนต์ Toyota ก็มีบ้านเกิดอยู่ที่นี่เช่นเดียวกัน

เมื่อกล่าวถึงบริษัทรถยนต์แล้ว สถานที่แรกของการเที่ยวชมเมืองนาโกยาคือ พิพิธภัณฑ์บริษัทรถยนต์โตโยต้านั่นเอง การเดินทางไปพิพิธภัณฑ์นี้ ต้องใช้การเดินทางด้วยรถประจำทาง ซึ่งจอดอยู่ด้านหน้าสถานีนาโกย่า โดยใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 5 นาที แรกเริ่มเดิมทีบริษัทโตโยต้าถือกำเนิดมาจากโรงงานทอผ้า ก่อนปรับเปลี่ยนมาเป็นบริษัทผลิตรถยนต์ในภายหลัง ภายในพิพิธภัณฑ์เมื่อเข้าไปแล้ว

ในส่วนแรกจะเป็นโซนของเครื่องจักรที่ใช้ในการทอผ้า พร้อมพนักงานคอยสาธิตวิธีการทอผ้าแต่ละขั้นตอน โซนต่อมาจะเริ่มเป็นโซนเครื่องจักรที่ใช้สำหรับผลิตรถยนต์ และวิธีการทำงานของชิ้นส่วนอุปกรณ์ของรถยนต์ในแต่ละยุคสมัย รถทั้งรถยนต์โตโยต้าในรุ่นต่างๆ รวมทั้งแบบจำลองเครื่องจักรที่ใช้ประกอบรถยนต์ที่แสนน่าทึ่ง

เมื่อเดินชมพิพิธภัณฑ์กันเสร็จ สถานที่ต่อไปที่เราทุกคนใจจดใจจ่อ และไม่รีรอที่จะไปกันต่อ นั่นก็คือปราสาทนาโกยา ที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมืองนั่นเอง ปราสาทนี้ถูกสร้างขึ้นในปี พศ. 2153 โดยมีปลาหัวเสือทองคำสองตัว ประดับอยู่บนหลังคาของปราสาท ชาวเมืองเชื่อกันว่าปลาหัวเสือทองคำคู่นี้จะช่วยคุ้มครองชาวเมืองให้อยู่เย็นเป็นสุข ก่อนเข้าไปถึงตัวปราสาท จะมีอาคารจัดแสดงจำลองห้องต่างๆ ของท่านโชกุนผู้ครองเมืองนี้

สมัยที่ท่านเคยอยู่ในปราสาทแห่งนี้ ปราสาทนาโกย่าในปัจจุบันได้ถูกดัดแปลงให้เป็นพิพิธภัณฑ์ ภายในปราสาทแบ่งออกเป็น 7 ชั้น โดยบอกเล่าเรื่องราวของเมืองนาโกย่า และความเป็นมาของปราสาท รวมถึงวิธีการสร้างปราสาทแห่งนี้ด้วย และชั้นบนสุดจะเป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นเมืองนาโกยาได้แบบ 360 องศา และมีร้านขายของที่ระลึกอีกด้วย สำหรับค่าเข้าชมปราสาทนาโกย่านั้น อยู่ที่ประมาณ 5.20 เหรียญ

สำหรับเมืองต่อไปที่อยากแนะนำให้มาเที่ยวกันก็คือ เมืองโอซาก้า เมืองใหญ่อันดับสองรองจากโตเกียว เมืองโอซาก้านั้นมีแหล่งท่องเที่ยวมากมายไม่แพ้โตเกียวเลย ทั้งแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมและแหล่งช้อปปิ้งอันเลื่องชื่อ เมื่อมาที่เมืองนี้แล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือการได้มาทานอาหารทะเล อาทิเช่น เมนูขาปูยักษ์ และขนมทาโกะยากิ รสชาติดั้งเดิมต้องที่โอซาก้าที่นี่ที่เดียวเท่านั้น และไม่ควรพลาดที่จะมาถ่ายรูปคู่กับป้ายไฟโฆษณาของบริษัทกลูลิโกะที่ย่านโดทงโบริมไว้เป็นที่ระลึก

สำหรับนักช้อปแล้ว ต้องมาเดินเล่นที่ย่าน นัมบะ ชินไชบาชิ และเท็นโนจิ ซึ่งถือเป็นเมืองในฝันของนักช้อปเลยก็ว่าได้ ทั้งสามย่านนี้อยู่ติดกันและสามารถเดินถึงกันได้หมด นอกจากเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่มีขายแล้ว ยังมีร้านอาหาร ร้านขนมขึ้นชื้อของเมืองเรียงรายอยู่ในย่านนี้ทั้งหมด เอาเป็นว่าสามารถเดินเล่นได้ทั้งวันไม่มีเบื่อ

สำหรับสถานที่อีกจุดนึงที่พวกเราเดินทางไปเที่ยวกันก็คือ ปราสาทโอซาก้า อีกหนึ่งสถานที่ ที่มีชื่อเสียงของประเทศญี่ปุ่น ภายในปราสาทถูกจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ เพื่อแสดงเรื่องราวความเป็นมาของปราสาทและเมืองโอซาก้า ผ่านการนำเสนอด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย และถ้าหากมาเที่ยวปราสาทโอซาก้าในช่วงซากุระบาน ยิ่งเพิ่มความสวยงามของปราสาทนี้ได้อีกมากเลยทีเดียว
”หมู่บ้าน โอกิมาจิ (Ogimachi Village) มีอายุกว่า 250 ปี ซึ่งยูเนสโก้ประกาศให้เป็นเมืองมรดกโลกในปี 1995 เอกลักษณ์ของหมู่บ้านนี้คือ บ้านทรงกัสโชสึคุริ เป็นหนึ่งในรูปแบบสถาปัตยกรรมเก่าแก่ของญี่ปุ่น ออกแบบพิเศษด้วยภูมิปัญญาของชาวบ้าน ”
หลังจากที่ได้ท่องเที่ยว เที่ยวนาโกย่า เมืองโอซาก้า ไปยังเมืองต่างๆ ในประเทศญี่ปุ่นกันมาพอสมควร ก่อนจากลาประเทศญี่ปุ่นกันในทริปนี้ ทีมงานขอสั่งลาด้วย One Day Trip สวยๆ แบบครบรสกันที่เมืองฮาโกเน่ที่อยู่ไม่ไกลจากโตเกียว ซึ่งแวดล้อมไปด้วยธรรมชาติและทะเลสาบอันสวยงาม ที่สำคัญเราสามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิจากตรงนี้ได้ด้วย

ที่บอกว่าสวยๆ แบบครบรสนั้น หมายถึง ความงดงามของธรรมชาติและสิ่งที่มนุษย์ได้รังสรรค์ขึ้นอย่างลงตัว และการเดินทางที่น่าตื่นตาตื่นใจ เพราะนักท่องเที่ยวที่มาจะได้นั่งทั้งรถไฟความเร็วสูงชินคันเซ็น รถไฟธรรมดา รถไฟโบราณ รถรางขึ้นเขา ได้ขึ้นกระเช้าลอยฟ้า ได้ล่องเรือในทะเลสาบ และสุดท้ายเป็นรถบัสชมธรรมชาติก่อนกลับมาส่งที่สถานีรถไฟนั่นเอง

การเดินทางมายังฮาโกเน่นั้น ทีมงานจะนั่งรถไฟชินคันเซ็นไปยังเมือง Odawara ใครมีตั๋ว JR Pass ก็ยังสามารถใช้ได้เช่นเดิม เมื่อมาถึงสถานี Odawara แล้ว จะมีบูธสำหรับบริการนักท่องเที่ยวที่ต้องการจะไปเที่ยวฮาโกเน่โดยเฉพาะ ซึ่งสามารถซื้อตั๋ว Hakone Free Pass (เป็นตั๋วที่ใช้ในการเดินทางทุกประเภทแบบเหมาจ่าย) ได้ที่นี่เลย และที่สำคัญในโบว์ชัวร์แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว เขามีเวอร์ชั่นภาษาไทยให้ด้วย ว้าววว… เมื่อซื้อบัตรเดินทางกันแล้ว สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก่อนออกเดินทางสู่ฮาโกเน่ก็คือต้องซื้อข้าวกล่องไว้ทานระหว่างการเดินทาง เพราะด้านในจะไม่ค่อยมีร้านค้ามากนักแถมคนเยอะอีกต่างหาก

เมื่อซื้อสเบียงเสร็จสรรพกันแล้ว เราก็พร้อมออกเดินทางทันที จากสถานี Odawara เราก็ต้องนั่งรถไฟขบวน Odakyu Railways เพื่อไปลงที่สถานี Hakone-Yamoto จากนั้นก็ต้องไปต่อรถไฟขึ้นเขาเพื่อไปลงที่สถานี Gora ความน่าสนใจของรถไฟสายนี้ก็คือเขาจะใช้วิธีวิ่งขึ้นเขาแบบซิกแซ็ก สลับกันระหว่างหัวขบวนกับหางขบวน ซึ่งถ้าได้นั่งตรงหัวขบวนหรือท้ายขบวนก็จะเห็นวิธีการนำรถไฟนี้ขึ้นสู่ยอดเขาแบบที่อาจไม่เคยเห็นมาก่อน

เมื่อมาถึงสถานี Gora แล้ว ก็จะต้องเดินทางต่อด้วยรถรางเพื่อมุ่งหน้าสู่สถานีที่อยู่บนยอดเขาที่มีชื่อว่าสถานี Sounzan ยังไม่หยุดเพียงเท่านี้ เราต้องเดินทางด้วยกระเช้าไฟฟ้าที่มีอยู่ 2 ช่วง ช่วงแรกจะแวะที่สถานี Owakudani เพื่อแวะชิมไข่ดำ ที่เขาจะเอาไข่ไก่ไปต้มในบ่อกำมะถันบนยอดเขาโอวาคุดานิ และช่วงที่สองจากจากสถานี Owakudani ไปสุดที่สถานี Togendi ระหว่างที่นั่งกะเช้าทั้งสองช่วงนี้ ให้เตรียมกล้องถ่ายรูปให้ดี เพราะถ้าโชคดี ท้องฟ้าเป็นใจ เราก็จะได้เห็นภูเขาไฟฟูจิกันเต็มตา แบบไม่มีอะไรมาบดบัง ซึ่งจะได้ภาพที่น่าจดจำไปอีกนาน

จากกระเช้าไฟฟ้า เราก็เดินทางต่อด้วยการล่องเรือโจรสลัด ชมทะเลสาบอาชิ ซึ่งเป็นอีกจุดหนึ่งที่เราจะเห็นภูเขาไฟฟูจิเป็นแบ็กกราวด้านหลัง ภายในเรือนี้จะถูกตกแต่งให้มีลักษณะคล้ายเรือโจรสลัด ให้ได้เก็บภาพสวยๆ กันไป ระหว่างการเดินทาง เมื่อมาถึงท่าเรือแล้ว จะมีรถบัสคอยรับส่งนักท่องเที่ยว ซึ่งมีหลายสายแล้วแต่ว่าจะไปไหนต่อหรือจะเดินทางกลับสู่สถานี Hakone-Yamoto เพื่อต่อรถไฟกลับโตเกียว ซึ่งระหว่างทางก็ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวให้ได้แวะกัน อาทิ เช่น ศาลเจ้าฮาโกเน่ หรือจะแวะร้านน้ำชา ที่เป็นการชงชาตามสไตล์ญี่ปุ่นขนานแท้ ก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบ