เที่ยวเมือง Lviv (ลวิฟ) เป็นเมืองทางตะวันตกของยูเครน ที่คนไทยอาจไม่ค่อยรู้จักนัก แต่คนโปแลนด์รู้จักกันดี เพราะอยู่ห่างจากชายแดนโปแลนด์แค่ 65 กม. แต่ด้วยความที่ต้องใช้เวลาตามกรุงเคียฟเมืองหลวง ทำให้ Lviv เวลาเร็วกว่าโปแลนด์ 1 ชม.

เมืองนี้เริ่มก่อตั้งเป็นชุมชนตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 6 แต่มาเริ่มขยายเป็นลักษณะเมืองเมื่อปี ค.ศ. 1256 หรือช่วงต้นยุคสุโขทัยของเราพอดี และด้วยความที่ทำเลเมือง Lviv อยู่ระหว่างทะเลดำและยุโรปกลาง จึงทำให้เป็นชุมทางของพ่อค้าจากเชื้อชาติต่างๆ จำนวนมาก

แม้ปัจจุบันจะเป็นส่วนหนึ่งของยูเครน แต่พรมแดนแถบนี้ในประวัติศาสตร์ก็เหมือนเส้นด้ายที่ผูกไว้กับปลายกิ่งไม้ ลมการเมืองหรือสงครามพัดคราใด เส้นพรมแดนก็สะบัดเปลี่ยนไปทุกที ทำให้ Lviv เคยอยู่ภายใต้การปกครองของทั้งเครือจักรภพ

โปแลนด์-ลิธัวเนีย อาณาจักรออสเตรีย-ฮังการี สหภาพโซเวียต เยอรมนี และแม้กระทั่งโปแลนด์หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งคนโปลิชปัจจุบันยังเรียกเมืองนี้ด้วยภาษาตัวเองว่า Lwów (ลวุฟ)

ด้วยความที่ผ่านประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน และโชคดีที่ในช่วงสงครามโลกแต่ละครั้ง Lviv ไม่ถูกทำลายลง ทำให้ Lviv มีสถาปัตยกรรมยุโรปกลางเก่าแก่ดั้งเดิมที่บูรณะไว้อย่างดีไม่แพ้เมืองดังอย่างคราคูฟของโปแลนด์ ปรากของเช็ก หรือบูดาเปสต์ของฮังการี
ตึกเก่าอายุกว่า 300 ปีขึ้นไป ยังมีให้เห็นอยู่หลายแห่ง คละเคล้าไปกับตึกอิฐเปลือย ซึ่งถูกเงาแห่งกาลเวลาทาทับให้ดูคลาสสิค ที่แม้สร้างมาใหม่กว่าระดับแค่ร้อยปีต้นๆ แต่ใช้เป็นที่อาศัยอยู่จริงของคนปัจจุบัน ไม่ได้ฉาบสีให้หลอกตานักท่องเที่ยว
ด้วยส่วนประกอบที่ลงตัว ทำให้ Lviv เป็นเหมือนกาแฟที่เพิ่งชงเสร็จใหม่ๆ …มีกลิ่นของอารยธรรมตะวันตกที่ละมุน มีสีสันแห่งประวัติศาสตร์ที่เข้มข้นเร้าใจ และมีรสชาติของวัฒนธรรมที่กลมกล่อม.

ด้วยสถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่ถูกรักษาไว้อย่างดี ทำให้ Old Town Lviv ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกขององค์การ UNESCO ตั้งแต่ปี 1975 ..และปัจจุบันตัวเมืองถูกแต่งแต้มไป ด้วยร้านคาเฟ่เก๋ๆ ปะปนไปกับร้านขายของที่ระลึกที่หลากหลายแปลกตาจำนวนมาก ..และเมืองเล็กๆ อย่าง Lviv มีนักท่องเที่ยวมาเยือนกว่าปีละ 2.6 ล้านคน

ในขณะที่มีสถาปัตยกรรมแบบยุโรป แต่ Lviv ยังมีกลิ่นอายของ ประเทศกำลังพัฒนาอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นปริมาณรถเก่าที่มากกว่ารถใหม่อย่างเห็นได้ชัด ถนนบางเส้นยังเป็นหลุมเป็นบ่อที่เวลาขับไปก็ไม่แน่ใจว่านี่ยุโรปหรือดวงจันทร์ แยกหรือวงเวียนบางแห่งที่เวลาขับผ่านเข้าข่ายแยกวัดใจหรือวงเวียนวัดดวง อาหารการกินที่ถูกกว่าโปแลนด์เกือบครึ่งหนึ่ง..รวมถึงคนรอบนอกเมืองยังเลี้ยงม้าอยู่พอสมควร และยังใช้ม้าเพื่อการเดินทางและขนส่งในชีวิตประจำวัน

ด้วยส่วนประกอบที่ลงตัว ทำให้ เที่ยวเมือง Lviv เป็นเหมือนกาแฟที่เพิ่งชงเสร็จใหม่ๆ …มีกลิ่นของอารยธรรมตะวันตกที่ละมุน มีสีสันแห่งประวัติศาสตร์ที่เข้มข้นเร้าใจ และมีรสชาติของวัฒนธรรมที่กลมกล่อม
ถ้าจะให้พูดถึง Lviv ซักประโยค คงต้องยืมคำของพี่ป้าง นครินทร์มาใช้….พอดูรวมๆ แล้วมีเสน่ห์เหลือเกิน
บทความของ (ท่องโลกไปกับ..หนึ่ง-นักการทูต)