เที่ยวแทสมาเนีย กับการไปใช้ชีวิตในรถบ้านตลอด 5 วันบนเกาะแทสมาเนีย ขับรถไปเที่ยวไปกินไปนอนไปจนครบรอบเกาะแบบตามเข็มนาฬิกา ซึ่งรวมระยะทางในการเดินทางครั้งนี้ได้ประมาณพันกว่ากิโลเมตร
จริงๆ แล้ว ทางทีมงาน VR Thai อยากให้ Main Story เล่มนี้เป็นสื่อกลางที่นำเสนอแง่มุมในเรื่องการท่องเที่ยวของออสเตรเลีย ที่มีสถานที่ท่องเที่ยวให้ได้ไปสัมผัส โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยสดงดงามบวกกับการจัดการที่เป็นเลิศ และเพิ่มความน่าสนใจเข้าไปด้วยการเดินทางด้วยรถบ้าน(Motorhome) ซึ่งเหนือสิ่งอื่นใดแล้ว การเดินทางในครั้งนี้ ต้องขอขอบคุณ

ผู้ร่วมเดินทางทุกท่านที่นอกจากจะเป็นทีมงานแล้ว บางท่านอาจไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ที่แบ่งปันน้ำใจ รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ จนทำให้การภารกิจครั้งนี้ สำเร็จอย่างปลอดภัย อร่อยและน่าจดจำ ลองชมและสัมผัสความงามของ Tasmania ตัวเป็นๆ ที่อาจเป็นตัวอย่างให้ใครหลายๆ คนอยากลองทำกันดูบ้าง

ก่อนเดินทาง
ภารกิจที่เราวางไว้ก็คือการขับรถเที่ยวรอบเกาะภายในเวลาที่จำกัดจึงทำให้เราต้องมีการเตรียมการล่วงหน้าที่ดีพอสมควร ทั้งรถที่ใช้ เส้นทางการเดินทาง สถานที่ท่องเที่ยว และที่พัก ซึ่งทุกอย่างสามารถเข้าไปหาข้อมูลได้ที่ www.discovertasmania.com.au ทางเว็บไวต์จะมีข้อมูลทุกอย่างที่เราต้องการ จนอ่านกันไม่ไหว นอกจากตั๋วเครื่องบินแล้ว

การจองรถบ้านนั้นถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดก็ว่าได้ในการไปเที่ยวครั้งนี้ ซึ่งบริษัทรถบ้านที่แทสมาเนียมีให้เลือกอยู่หลายบริษัท ขึ้นอยู่กับราคาและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ให้มา แต่ทางทีมงานเลือกของบริษัท Appollo เพราะราคาถูกว่าบริษัทอื่น หลังจากจองรถได้แล้ว สิ่งต่อมาที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือที่พักนั่นเอง ซึ่งแน่นอนเราเลือกแบบ Caravan Park เพราะที่พักแบบนี้จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับรถบ้านเป็นอย่างดี ยกตัวอย่างเช่น น้ำปะปา ไฟฟ้า ห้องอาบน้ำ เตาบาร์บีคิว เครื่องซักผ้า ที่เติมแก๊ส ฯลฯ

การเลือก Caravan Park นั้น ควรเลือกจากทำเลที่ตั้งที่ไม่เปลี่ยวจนเกินไปนัก และไม่ควรห่างจากสถานที่ท่องเที่ยวของบริเวณนั้น รวมทั้งควรคำนึงถึงสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีบริการไว้ด้วย และสิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งที่จำเป็นต้องมีก็คือ ค่าเข้าอุทยานแห่งชาติ หรือ National Parks Passes ที่บนเกาะแทสมาเนียซึ่งมีอยู่เป็นจะนวนมากและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ ของประเทศนี้
Day 1
Hobart – Strahan

หลังจากออกเดินทางจากสนามบินที่ซิดนีย์ในช่วงรุ่งเช้า ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง เครื่องก็ลงแตะสนามบิน Hobart ตามเวลาที่ระบุไว้ในตารางการบิน เมื่อเข้ามาภายในอาคารผู้โดยสารก็เจอกับบูธประชาสัมพันธ์ ที่มีโบว์ชัวร์แหล่งท่องเที่ยวของแทสมาเนียให้เลือกอย่างละเอียด พอได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์เพิ่มเติมแล้ว เราก็ออกจากสนามบินเพื่อออกไปหาอาหารเช้าทานและไปรับรถบ้านที่เช่าไว้

เมื่อมาถึงบริษัทรถบ้าน ก็เข้าไปติดต่อ ซึ่งบริษัทก็จะมี พนักงานคอยอธิบายวิธีการใช้รถและอุปกรณ์ต่างๆ อย่างละเอียด รวมถึงการขับรถอย่างปลอดภัยบนเกาะแห่งนี้ เมื่อได้คู่มือข้อมูลการใช้รถและเช็คความพร้อมอย่างแล้ว เราก็ออกเดินทางทันทีเพื่อไม่ให้ถึงที่หมายค่ำจนเกินไปนัก โดยมีจุดหมายอยู่ที่เมือง Strahan ที่อยู่สุดขอบของเกาะแทสมาเนียทางด้านทิศตะวันตก ซึ่งก่อนออกจากตัวเมือง Hobart เราก็แวะซื้อเสบียงเพิ่มเติมทั้งอาหารและเครื่องดื่มเพื่อเอาไว้ทำกับข้าวในช่วงเย็น และช่วงเช้าของวันถัดไป

เราใช้เส้นทาง A10 จนถึงเมือง Queenstown และต่อด้วย B24 เพื่อเข้าสู่เมือง Strahan ตลอดสองข้างทางจะเต็มไปด้วยป่าไม้ธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ สลับกับต้นสนที่ได้รับสัมปทานป่าไม้ที่จะเห็นบางช่วงเป็นเขาหัวโล้นเพราะต้นสนเพิ่งถูกตัดไปและฟาร์มแกะและวัวของชาวบ้าน ซึ่งเราจะเห็นป้ายเตือนเป็นระยะๆ ว่าระวังสัตว์ป่า ซึ่งเราก็จะเห็นพวกมันวิ่งข้ามถนนไปมาอยู่บ่อยครั้ง

แผนการที่เราวางแผนไว้ก็คือ เราคาดหมายว่าจะถึงเมือง Queenstown ประมาณ 4 โมงเย็น และเดินเที่ยวชมตัวเมืองแห่งนี้และขับรถต่อเพื่อให้ถึงที่หมายก่อน 6 โมงเย็นเพื่อเตรียมอาหารเย็นกัน แต่เอาเข้าจริงๆ การเดินทางต้องเจอกับความล่าช้าเพราะรถที่เราใช้เป็นรถบ้านขนาดใหญ่ ถนนที่แคบและคดเคื้ยวมาก บวกกับฝนที่ตกลงมา จึงทำให้เราไม่สามารถเดินทางไปถึงจุดหมายได้ตามเวลาที่กำหนดไว้
เราถึงเมือง Queenstown ตอนพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว ซึ่งทุกอย่างก็อยู่ในความเงีบยสงบ มีร้านค้าน้อยมากที่ยังเปิดให้บริการอยู่ ซึ่งเราแวะที่เมืองแห่งนี้ได้ไม่นานเราก็ออกเดินทางต่อทันทีเพื่อให้ถึงที่พักคือ Strahan Holiday Park เพื่อทำอาหารเย็น และพักผ่อน ที่เมื่อยล้าจากการเดินทางมาตลอดทั้งวัน

เมื่อถึงที่พัก เราก็จัดการทดสอบรถที่ได้รับคำแนะนำจากพนักงานมา เราก็ทำการต่อน้ำและไฟฟ้า รถคันนี้ก็แปลสภาพกลายเป็นบ้านเคลื่อนที่ไปโดยปริยาย เราสามารถเปิดฮีทเตอร์ ใช้ไมโครเวฟ เปิดโทรทัศน์ อาบน้ำอุ่น ได้อย่างสะดวกสบาย แต่ที่พักที่เราเช่าไว้นั้นมีห้องน้ำ เราจึงใช้ห้องน้ำด้านนอกเพื่อความสะดวก เมื่อนับการเดินทางในวันนี้แล้ว เราใช้เวลาทั้งหมดจาก Hobart ถึง Strahan ประมาณ 5 ชั่วโมงครึ่ง ด้วยระยะทางหฤโหดสายนี้เกือบ 300 กิโลเมตร ซึ่งผิดความคาดหมายจากที่คาดหมายไว้ว่าน่าจะประมาณ 4 ชั่วโมง
TIPS: One
สัญญาณโทรศัพท์และระบบ 3G บนเกาะแทสมาเนีย จะมีน้อยมาก อาจจะมีอยู่บ้างในช่วงเขตเมือง ดังนั้นต้องเตรียมตัวเรื่องเส้นทางและสถานที่ท่องเที่ยวให้ดีก่อน
Day 2
Stratan – Devonport

วันนี้เราถูกปลุกให้ตื่นด้วยข้าวต้มหอมกรุ่นตัดกับอากาศหนาวยามเช้าของเมือง Strahan หลังจากรับประทานอาหารเช้ากันแล้ว เราก็ขับรถชมเมือง Strahan และออกเดินทางต่อโดยมีจุดหมาย เป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อที่ใครไม่ได้มาก็เหมือนมาเกาะแทสมาเนียไม่ถึง นั่นก็คือ อุทยานแห่งชาติ Cradle Mountain หลังจากออกเดินทางได้สักพักเราก็มาหยุดพักที่เมือง Rosebery เมืองแสนสวยในหุบเขาที่ชวนให้เราต้องหยุดพัก

Rosebery เป็นเมืองที่มีการทำเหมืองแร่ที่สำคัญของรัฐแห่งนี้ จึงทำให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาในย่านนี้ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่ทำงานในเหมืองแร่กัน เมื่อแวะพักและซื้อของกันแล้วเราก็ออกเดินทางกันต่อ ตามตารางเวลาที่เราเตรียมกันไว้ นั่นก็คือ ไปถึง Cradle Mountain และทานอาหารเที่ยงกันที่นั่น ซึ่งการเดินทางในช่วงเช้านี้ เส้นทางยังเป็นหุบเขาคดเคี้ยวและมีรถบรรทุกของเหมืองแร่วิ่งผ่านไปมา จึงทำให้เราต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ

หลังจากใช้เวลาเดินทางสักพักใหญ่เราก็ถึงจุดหมาย ไม่รอเช้าเราก็เข้าไปที่จุดบริการนักท่องเที่ยวเพื่อสอบถามข้อมูลทันที เจ้าหน้าที่ก็ให้ข้อมูลเราว่าหากเป็นรถบ้านจะไม่สามารถขับเข้าไปในอุทยานได้ จะต้องจอดไว้ที่นี่แล้วนั่งรถของทางอุทยานฯ เข้าไปแทน หรือหากมีเวลาก็สามารถเดินเท้าชมธรรมชาติ โดยทางอุทยานฯ เขาทำทางเดินไว้อย่างดี

เมื่อได้ข้อมูลจากทางเจ้าหน้าที่แล้ว เราก็ทำอาหารเที่ยงทานกันก่อนเข้าไปชมความงดงามของอุทยานแห่งชาติแห่งนี้ รถที่ให้บริการจะออกทุกๆ 15 นาที ซึ่งจะใช้เวลาในการเดินทางถึง Dove Lake จุดที่เป็นไฮไลท์ของอุทยานแห่งนี้เลยก็ว่าได้ เมื่อถึงทะเลสาบเราทุกคนก็รู้สึกหายเหนื่อยอย่างปลิดทิ้ง ต่างคนต่างหยิบกล้องมาเก็บภาพประทับใจนี้ไว้ เพราะสิ่งที่เราเห็นก็คือทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้าเราโดยมีภูเขาและก้อนเมฆเป็นแบล็คกราวน์อยู่ด้านหลัง เมื่อมองไปรอบๆ ก็จะเห็นต้นไม้น้อยใหญ่ เขียวชอุ่ม ดูแล้วสวยงามสะอาดตาไปหมด

รวมทั้งเจ้าวอลลาบี้และวอมแบทที่ออกมาทักทายพวกเรา เราเก็บภาพความงามและเดินเล่นอยู่นาน จนได้ยินจากเจ้าหน้าที่บอกว่า นี่เป็นรถเที่ยวสุดท้ายที่จะกลับไปยังจุดบริการนักท่องเที่ยวแล้ว หากไม่กลับเที่ยวนี้ เราต้องเดินกลับกันเอง ซึ่งต้องใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมงเลยทีเดียว เราจึงต้องจากลา Dove Lake ทะเสสาบแห่งสรวงสวรรค์แห่งนี้ไปด้วยความเสียดาย และหวังว่าวันนึงเราจะกลับมาเยือนที่นี่อีกครั้ง

“ ต้องขอบอกก่อนเลยว่าการมา เที่ยว Great Ocean Road เมืองเมลเบิร์น นั้น จะต้องเตรียมการให้ดีก่อนออกเดินทาง ควรออกเดินทางกันตั้งแต่เช้าเพราะใช้เวลาค่อนข้างมาก แวะเติมน้ำมัน ตรวจสภาพรถให้ดีก่อนออกเดินทางเพราะเป็นเส้นทางที่คดเคี้ยวและค่อนข้างอันตราย รวมทั้งไม่มีสถานบริการน้ำมันให้บริการมากนัก ”
TIPS: Two
การขับรถบ้านที่มีขนาดใหญ่ จะใช้เวลาในการเดินทางมากกว่ารถยนตร์ธรรมดา เส้นทางส่วนใหญ่ จะเป็นหุบเขา แบบ 2 เลนแคบๆ ในบางช่วง ฉะนั้นต้องวางแผนการเดินทางให้ดี ใช้ความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ และไม่ควรเดินทางในเวลากลางคืน
Day 3
Devonport – St. Helen

เช้าวันใหม่ที่ Devonport เรารีบออกเดินทางกันตั้งแต่เช้า เพราะมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลายที่ที่ต้องไปเยือน ก่อนอื่นเราขอแวะเข้าไปยังตัวเมือง Day two เพื่อซื้อสบียงอีกครั้ง รวมทั้งขับรถชมเมืองในยามเช้าที่มีท่าเรือเป็นจุดเด่น ร่วมทั้งเรือสำราญ Spirit of Tasmania ที่จอดเทียบท่าอยู่ที่เมืองแห่งนี้


หลังจากซื้อของครบได้ตามต้องการแล้ว เราก็ออกเดินทางไปยังโรงงานช็อกโลแล็ต House of Anvers ที่อยู่บนถนน Bass Highway ที่นี่นอกจากจะมีช็อกโกแลตน่าตาน่าหม่ำแล้ว เขายังจัดสถานที่ไว้ให้ถ่ายรูปเหมือนได้มาสวนสนุกอีกด้วย ภายในโรงงานแห่งนี้ ยังมีคาเฟ่ ร้านจำหน่ายช็อกโกแล็ตที่มีให้ชิมกันแบบฟรีๆ นอกจากนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์ช็อกโกแล็ตที่พูดถึงประวัติการทำช็อกโกแล็ตในยุคแรกๆ และประวัติของโรงงานแห่งนี้ด้วย

หลังจากที่เราได้แวะชิมและชมจนได้ของฝากติดไม้ติดมือกลับซิดนีย์กันบ้างแล้ว เราก็ออกเดินทางต่อไปที่เมือง Launceston เส้นทางจาก Devonport ไป Launceston เป็นเส้นทางที่ขับง่าย ถนนอยู่บนพื้นราบมากกว่าเส้นทางที่เราวิ่งผ่านมา จึงทำให้เราถึงที่หมายได้เร็วตามที่คิดไว้ เมืองถึงตัวเมืองเราก็แวะทานอาหารเที่ยงกันที่ฟู้ดคอร์ทบนถนน Wellington Street กัน สิ่งที่น่าประหลาดใจที่ได้เจอก็คือ ร้านอาหารไทยที่ไม่มีคนไทยทำเลย หรือร้านอาหารญี่ปุ่นแต่พนักงานเป็นคนอินเดีย ซึ่งให้บริการด้วยควายิ้มแย้มแจ่มใส

หลังจากทานอาหารกลางวันเติมพลังกันแล้ว เราก็ออกเดินทางไปยัง Cataract George แหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อที่สุดของเมือง Launceston เลยก็ว่าได้ เมื่อได้เดินเที่ยว กันจนอิ่มแล้ว ก็ถึงเวลาเดินทางต่อ เพื่อให้ถึงที่พักในคืนนี้ ก็คือเมือง St. Helen นั่นเอง เมืองแห่งนี้ถือเป็นเมืองที่มีการทำการประมงกันเป็นส่วนใหญ่
ซึ่งเราหวังว่าเมื่อถึงเมืองแห่งนี้เราคงได้ซื้ออาหารทะเลมาทำทานกันแน่ แต่เมื่อมาถึงแล้วทุกอย่างกลับตรงกันข้ามกับที่เราจินตนาการเอาไว้มาก ทุกอย่าง ทั้งร้านค้าและสถานที่บริการอื่นๆ พากันปิดร้านกันอย่างรวดเร็ว เหลือเพียง IGA ที่เป็นฮีโร่ของเราในคืนนี้ สำหรับการซึ้อของและอาหารมาทำทานกัน โดยที่ไม่มีอาหารทะเลในเมนูคืนนี้เลย
TIPS: Three
ก่อนเดินทางมาแทสมาเนียควรซื้อ National Parks Passes ของ Tasmania จะประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย อย่างเช่น ค่าเข้าอุทยานที่แทสมาเนียที่เราซื้อไว้ก่อนเดินทาง ราคา $60 เหรียญ ใช้ได้ 8 สัปดาห์ ต่อรถบ้าน 1 คัน โดยมีผู้โดยสารไม่เกิน 8 คน ซึ่งสามารถเข้าออกอุทยานแห่งชาติในแทสมาเนียได้ทุกที่ สามารถเข้าไปหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.parks.tas.gov.au/?base=914
Day 4
St. Helen – Coles Ba

วันที่ 4 ของการเดินทาง เราตื่นกันแต่เช้าด้วยความหวังที่ว่า น่าจะมีอาหารทะเลขายในตอนเช้า แต่เราก็ผิดหวังอีกรอบเพราะไม่มีอาหารทะเลที่เราต้องการเลย เราจึงเปลี่ยนความผิดหวังนี้ มุ่งหน้าสู่ Binalong Bay ชายหาดที่มีหินสีแดง มองดูประหลาดตาเหมืองใครเอาสีมาทา แต่ก็ดูสวยงามไปอีกแบบ

ขากลับจาก Binalong Bay เราก็ได้พบกับโรงงานแพ็คหอยนางรม ที่มีทั้งขายส่งและขายปลีก ราคาไม่แพงแถมได้หอยตัวใหญ่อีกด้วย ไม่รอช้า เราก็ซื้อแล้วลองทานกันที่นั่น และบางส่วนจะเอามาทำหอยนางรมอบชีส อาหารเย็นสำหรับคืนนี้กัน

หลังจากเดินทางออกจากเมือง St. Helen เพื่อมุ่งหน้าสู่เมือง Coles Bay ที่มีจุดหมายอยู่ที่ชายหาดทรายขาวแสนสวย Wineglass Bay ที่อยู่ในอุทยานแห่งชาติ Freycinet National Park ระหว่างทางเราก็จะเห็นไร่ไวน์องุ่น ซึ่งเส้นทางที่เราวิ่งผ่านนี้ จะให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากทางด้านทิศตะวันตกอยู่พอสมควร ด้านนี้จะเต็มไปด้วยต้นหญ้า และมีต้นไม้ขนาดเล็กขึ้นอยู่ประปราย ตัดกับวิวทะเลและหาดทราย ไม่มีแหล่งน้ำหรือลำธารเหมือนฝั่งตะวันตก มองดูแล้วก็ให้บรรยากาศที่แตกต่างกันไปอีกแบบ ทั้งๆ ที่อยู่บนเกาะเดียวกัน

พอขับรถมาไม่นานนักเราก็มาถึงอุทยานแห่งชาติ Freycinet National Park ที่เป็นที่ตั้งของ Wineglass Bay ที่ถือได้ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งของเกาะแห่งนี้ สิ่งแรกที่ทุกคนนึกถึงกันก็คือ เมื่อไปถึงแล้วก็อยากจะลองเล่นน้ำทะเลกัน เพราะด้วยหาดทรายที่ขาวสวยสะอาดตาบวกกับสภาพอากาศในวันนั้นที่ถือว่าเหมาะแก่การลงเล่นน้ำเลยทีเดียว

แต่พอมาถึงแล้วถึงได้รู้ว่าการจะไปที่ Wineglass Bay นั้น เราต้องเดินเท้าไปอีกประมาณ 2.5 กิโลเมตร ซึ่งต้องใช้เวลาในการเดินทางไป-กลับประมาณ 3 ชั่วโมง เมื่อทุกคนคุยกันแล้วว่าควรจะไปแค่ Wineglass Bay Lookout จุดชมวิวที่สามารถเห็นอ่าวแห่งนี้ได้ในมุมที่สวยที่สุด ซึ่งใช้เวลาเดินเท้าทั้งไปและกลับเพียงชั่วโมงครึ่งเท่านั้น เส้นทางที่ใช้เป็นทางหลักในการเดินทางไป Wineglass Bay นั้นมีลักษณะเหมือนเดินข้ามช่องเขา เพื่อข้ามไปสู่ชายหาดอีกฝั่งหนึ่ง

ซึ่งแน่นอนการเดินขึ้นเขาที่มีความสูงชันคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเดินไปถึงจุดหมายในเวลาที่รวดเร็วนัก หลังจากเที่ยวชม Wineglass Bay เสร็จเรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลากลับที่พักซึ่งไม่ไกลจากอุทยานแห่งชาติ Freycinet National Park มากนัก เมื่อมาถึงที่พักเราก็ได้รับคำแนะนำให้รีบไปเก็บภาพ พระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้าที่ Coles Bay ซึ่งสวยงามไม่แพ้ที่ไหนๆ และเมื่อกลับถึงที่พักเราก็ทำอาหารเย็นรับประทานกัน โดยมีหอยนางรมตัวใหญ่ที่ได้มาเมื่อตอนกลางวันเป็นตัวชูโรงสำหรับอาหารเย็นมื้อนี้
TIPS: Four
ค่าเข้า Port Arthur Historic Site ปกติราคา $35 เหรียญ แต่เขาจะลดให้เรา
ครึ่งราคาหากเราใช้เวลาเดินเที่ยวแล้วกลับมาภายในไม่เกิน 1 ชั่วโมง
Day 5
Coles Bay – Port Arthur – Hobart

วันสุดท้ายของการเดินทาง เที่ยวแทสมาเนีย วันนี้ตื่นขึ้นมากับความรู้สึกใจหายเล็กๆ ว่าวันนี้เป็นวันที่เราจะต้องจากลารถบ้านไปด้วยความเสียดาย แต่ที่ที่เราจะไปในวันนี้ก็ทำให้เราลืมความกังวลตรงนั้นลงไปได้ เพราะสถานที่ที่เราจะไปในวันนี้ก็คือ Port Arthur Historic Site ที่เมื่อก่อนเคยใช้เป็นที่คุมขังนักโทษจากอังกฤษ และถูกพัฒนาให้กลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในปัจจุบัน หลังจากขับรถแบบไม่จอดพักประมาณเกือบ 4 ชั่วโมง เราก็ถึงจุดหมาย

เมื่อมาถึงแล้วเราก็เข้าไป เพื่อซื้อตั๋วที่มีให้เลือกหลายแบบ ตั้งแต่แบบทัวร์ครึ่งวัน แบบเต็มวัน และแบบสองวัน ซึ่งมีกิจกรรมมากมายให้ได้ทำกัน แต่ด้วยเวลาที่จำกัด เราจึงเลือกเป็นแบบ Bronze Pass คือทัวร์แบบครึ่งวัน ซึ่งเมื่อเข้าไปแล้ว จะมีห้องที่ทำไว้คล้ายกับพิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของสถานที่แห่งนี้ พอออกมาด้านนอกก็จะเป็นสนามหญ้ากว้างๆ มองเห็นอาคารที่เคยเป็นห้องขังและที่พักของผู้คุมผุพังไปตามกาลเวลา อาคารสถานที่ถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ ถึงแม้บางอาคารจะเหลือแต่ฝาผนัง แต่ก็ยังหลงเหลือโครงสร้างที่พอจะเห็นภาพได้บ้าง ซึ่งก็ได้มุมถ่ายภาพที่สวยงามอย่างที่เห็นในโบว์ชัวร์แบบไม่ผิดเพี้ยน

ที่เที่ยวที่สุดท้ายของการเดินทางในครั้งนี้ ก็คือตัวเมือง Hobart ที่เราได้เพียงแต่ผ่านในช่วงวันแรกของการเดินทาง เรามาถึงตัวเมืองประมาณ 4 โมงเย็นของวันเสาร์ เมืองแห่งนี้เงียบสงบไม่ค่อยมีคนสัญจรไปมามากนัก ผิดกับที่เราคาดการณ์ไว้ตั้งแต่แรก ร้านอาหารและผับ มีคนเข้าไปใช้บริการค่อนข้างบางตา

จนเราได้รับคำแนะนำให้ไปเดินเล่นที่ Salamanca Place แหล่งท่องเที่ยวยามค่ำคืน ที่มีทั้งผับและร้านอาหาร ในบรรยากาศคล้ายกับเมืองในยุโรปมาก เราเดินชม Salamanca Place และ อาคาร สำนักงานในเมืองอยู่พักใหญ่ก็ถึงเวลากลับที่พัก พื่อเตรียมเข้านอนก่อนบอกลา เที่ยวแทสมาเนีย และออกเดินทางกลับซิดนีย์ในวันรุ่งขึ้น