เที่ยวแบบครบรส ถ้าจะเอ่ยถึงเมืองที่มีชายหาดอันเลื่องชื่อของประเทศออสเตรเลียแล้ว ชื่อของเมืองไบรอน เบย์ คงเป็นอีกเมืองหนึ่งที่จะติดอยู่ในสิลต์อันดับต้นๆ อย่างไม่ต้องสงสัย
สภาพธรรมชาติอันสวยงามตระการตาทั้งหาดทราย ท้องทะเล และป่าเขาที่ยังบริสุทธิ์ รวมทั้งสภาพอากาศและอุณหภูมิอันพอเหมาะทั้งปี ที่นี่มีสภาพอากาศกึ่งร้อน โดยมีอากาศร้อนและฝนตกในช่วงฤดูร้อน และอากาศแห้งเย็นในฤดูหนาว อุณหภูมิโดยเฉลี่ยสูงสุดจะอยู่ที่ 24 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิต่ำสุดที่ 17 องศาเซลเซียส

ไบรอน เบย์จึงเหมาะสำหรับกิจกรรมกลางแจ้งนานาชนิด ทั้งทางน้ำ ทางบก หรือแม้แต่ทางอากาศ ประกอบกับไลฟ์สไตล์ และวิถีชีวิตที่ไม่เร่งรีบของผู้คนที่นี่ จึงไม่แปลกใจที่ไบรอนเบย์คือแดนสวรรค์ของนักท่องเที่ยวทางจากทั่วทุกมุมโลก
สิ่งแรกที่มักนึกถึงกันเมื่อมาที่ไบรอน เบย์ ก็คือท้องทะเลสีคราม และทิวทัศน์ริมทะเลที่สวยติดอันดับต้นโลก เพราะมีทั้งหาดทรายขาวๆ ทะเลสีครามกับเกลียวคลื่น และหน้าผาสูงชันอันเหมาะต่อการดูปลาวาฬ และโลมา ยังไม่นับว่ามีป่าไม้เขียวชอุ่มบนเทือกเขาสลับซับซ้อนอยู่เป็นฉากหลัง

แหลมไบรอน (Cape Byron) ซึ่งห่างจากตัวเมืองไปประมาณ 3 กิโลเมตร เป็นเพชรเม็ดงามกลางทะเลสีมรกตที่นี่ บริเวณแหลมถูกจัดให้เป็นพื้นที่อนุรักษ์ธรรมชาติ Cape Byron Headland Reserve มีเส้นทางเดินเลาะชายฝั่งที่สวยงามสุดๆ เส้นทางที่ว่านี้ มีระยะทางรวม 5 กิโลเมตร ลัดเลาะไปตามชายฝั่งที่ปกคลุมด้วยทุ่งหญ้าฮีธ (Heath) แซมด้วยดอกไม้ป่า ผ่านป่าดิบเขียวขจี และดงต้นแบงเซียซึ่งเป็นไม้ยืนต้นท้องถิ่นของออสเตรเลีย

ที่สำคัญเส้นทางนี้ผ่านจุดชมวิวงามๆ หลายต่อหลายแห่ง จากจุดชมวิวเรามีโอกาสได้เห็นฝูงโลมาปากขวดที่มักจะมาว่ายโต้คลื่นยามเย็นๆ หรือหากมาถูกที่ถูกเวลา ถูกฤดูกาล โอกาสที่จะได้เห็นครอบครัววาฬหลังค่อมว่ายผ่านก็มีไม่น้อย
อุทยานแห่งชาติทางทะเลเคปไบรอน (Cape Byron Marine Park) เป็นอุทยานทางทะเลขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมพื้นที่ราวๆ 22,000 เฮกเตอร์ กินพื้นที่ตั้งแต่ทางเหนือของบรุนส์วิค เฮดส์ (Brunswick Heads) จรดไปทางใต้ของเลนน๊อกซ์ เฮด (Lennox Head) ที่นี่เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเลหลากหลายสายพันธุ์ทั้งปลา โลมา นกทะเล และพืชใต้น้ำต่างๆ ไปจนถึงฉลามและเต่าทะเล

”เมื่อมาที่ไบรอน เบย์แล้ว ควรลองใช้ชีวิตแบบชาวไบรอน เบย์กันดูบ้าง อย่างเช่นการแต่งตัวสไตล์โบฮีเมียน รวมทั้งทานอาหารมื้อสบายๆ ที่ปรุงด้วยวัตถุดิบออร์แกนิค และวิถีชีวิตที่ไม่เร่งรีบ ซึ่งล้วนเหมาะแก่การฟื้นฟูจิตวิญญาณได้อย่างสมบูรณ์แบบ”
เมื่อมาถึงแหลมไบรอนแล้ว คงจะลืมเอ่ยถึง Cape Byron Lighthouse ไม่ได้ ประภาคารที่สูงตระหง่านร่วม 22 เมตร ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่เหนือแหลมไบรอน และเป็นสัญลักษณ์สำคัญอย่างหนึ่งของไบรอนเบย์ ประภาคารแห่งนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1901
ตัวประภาคารก่อสร้างในสไตล์โคโลเนียล โดยเจมส์ บาร์เน็ท สถาปนิกชาวนิวเซาท์เวลส์ ด้วยความที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่บนหน้าผาสูงอยู่แล้ว จึงไม่ต้องเน้นให้มีความสูงมากนัก แม้จะมีอายุกว่าร้อยปีแต่ประภาคารสีขาวสว่างไสวแห่งนี้ยังปฏิบัติหน้าที่อย่างสัตย์ซื่อ ช่วยปกป้องอันตรายให้เรือขนส่งสินค้านอกชายฝั่งนิวเซาท์เวลล์

จากแหลมไบรอน เรามักจะเห็นหมู่เรือคายัคพายต่อแถวกันเป็นกลุ่มๆ อยู่กลางท้องทะเลเบื้องล่าง ว่ากันว่าเป็นการชมแหลมไบรอนที่ได้บรรยากาศใกล้ชิดไปอีกแบบ ใครโชคดีอาจได้เจอโลมาว่ายเข้ามาคลอเคลียเล่นด้วย ถ้ามีเวลาขอแนะนำให้ไปลองดู ไกด์คนนำมักจะพาเราแวะเข้าไปสำรวจชายหาดสวยๆ สงบๆ ตามแนวชายฝั่งด้วย
กิจกรรมทางน้ำที่ไบรอนเบย์ไม่ได้มีเฉพาะพายเรือเท่านั้น ใครอยากลงไปสำรวจใต้น้ำ Julian Rock Marine Reserve ที่อยู่ห่างฝั่งออกไปแค่ 2.5 กิโลเมตร เป็นพื้นที่อนุรักษ์ธรรมชาติใต้ทะเลที่มีความอุดมสมบูรณ์มากแห่งหนึ่ง กองหิน Julian เป็นแหล่งอาศัยของนกทะเลหลายชนิดเช่น นกนางนวล และนกกาน้ำ

ส่วนใต้น้ำก็เป็นบ้านของเต่าทะเล ปลาไหลเมอเรย์ ปลาฉลามเสือดาว และปลาทะเลสวยงามอีกมากกว่า 500 ชนิด รวมทั้งแมนตา เรย์ หรือกระเบนราหู ที่มักแวะมาเยี่ยมเยือนในช่วงฤดูร้อน
เมื่อมาที่ไบรอน เบย์แล้ว ควรลองใช้ชีวิตแบบชาวไบรอน เบย์กันดูบ้าง อย่างเช่นการแต่งตัวสไตล์โบฮีเมียน รวมทั้งทานอาหารมื้อสบายๆ ที่ปรุงด้วยวัตถุดิบออร์แกนิค และวิถีชีวิตที่ไม่เร่งรีบ ซึ่งล้วนเหมาะแก่การฟื้นฟูจิตวิญญาณได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยการบำบัดที่ผ่อนคลายโดยชาวไบรอนที่เป็นมิตร และไม่ควรลืมที่จะร่วมทำกิจกรรมโยคะ ซึ่งถือเป็นไฮไลท์ของเมืองนี้เลย

ปราสาทคริสตัลและสวนซัมบาลาคืออีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องมาเยือนหากได้มาที่ไบรอน เบย์ ที่นี่มีคริสตัลจากทั่วทุกมุมโลกมาจัดแสดงในสวนกลางแจ้งเนื้อที่กว่า 5 เฮกเตอร์ ซึ่งเป็นคริสตัลหายาก รวมทั้งคริสตัลที่เป็นฟอสซิล อายุกว่า 500 ล้านปี นอกจากนี้ภายในสวนก็ยังมีรูปปั้นพระพุทธรูปและพระพิฆเนศ มาจัดแสดงท่ามกลางธรรมชาติที่ร่มรื่นและทางเดินที่รายล้อมไปด้วยต้นไผ่ที่ให้ความรู้สึกถึงความเป็นเอเชียนอย่างแท้จริง

นอกจากนี้ไบรอนเบย์ ยังมีเทศกาลดนตรี นับเป็นมหกรรมใหญ่ของไบรอน เบย์ ทั้งเทศกาลดนตรี Bluesfest ในเดือนเมษายน เทศกาลดนตรีประจำปี Splendour in the Glass ในเดือนกรกฎาคม เทศกาลชนพื้นเมืองแห่งออสเตรเลีย Boomerang Festival ในเดือนตุลาคม และเทศกาลดนตรีและศิลปะ The Falls Music & Arts Festival ที่จะเริ่มขึ้นตั้งแต่สิ้นเดือนธันวาคม โดยเทศกาลเหล่านี้จะมีการแสดงทั้งในแบบพื้นเมืองและนานาชาติที่ล้วนหาดูได้ยากให้ชม
เที่ยวแบบครบรส ไบรอนเบย์มีระยะทางที่ห่างจากเมืองซิดนีย์ประมาณ 770 กิโลเมตร ซึ่งใช้เวลาขับรถประมาณ 9 ชั่วโมง หรือหากนั่งเครื่องบินก็จะใช้เวาลเพียง 75 นาที สู่สนามบินที่ใกล้ที่สุดก็คือ บอลลิน่า ไบรอน และใช้ Byron easyBus ไบรอน ซึ่งเป็นรถชัตเตอร์บัสวิ่งจากไบรอน เบย์ไปยังใจกลางเมืองและสนามบินบอลลิน่า ไบรอน ทั้งยังให้บริการรับ-ส่งรอบเมืองไบรอน เบย์อีกด้วย