เมือง Gdańsk (กดังสก์) หนึ่งในเมืองที่มีสีสันมาก ทางตอนเหนือของโปแลนด์ ติดกับทะเลบอลติก หากว่ายน้ำข้ามทะเลไปได้โดยไม่ขาดใจซะก่อนก็จะไปเจอสวีเดน หรือเดนมาร์ก และสามารถทะลุออกไปยังยุโรปอื่น ๆ ได้
โปแลนด์เป็นประเทศที่มีสีสันเชิงประวัติศาสตร์ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะประวัติศาสตร์สงคราม เนื่องจากอยู่ใกล้ประเทศมหาอำนาจในยุโรปมากมาย และเป็นมหาอำนาจที่คอยแผ่ขยายอำนาจไปยังทิศต่างๆ อยู่เสมอ ทำให้เมืองต่างๆ ในโปแลนด์มีประวัติเกี่ยวกับสงครามอย่างโชกโชน

ด้วยความที่เป็นเมืองที่มีช่องทางออกทะเลดังกล่าว ทำให้ เมือง Gdańsk (กดังสก์) มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ และเป็นที่หมายปองของหลายประเทศในแถบนี้ในประวัติเก่าแก่นั้น เมืองนี้เริ่มพบหลักฐานการมีถิ่นฐานของชุมชนชาวประมง ตั้งแต่ศตวรรษที่ 7 และมาเป็นส่วนหนึ่งของโปแลนด์ในศตวรรษที่ 10

ต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 12 กษัตริย์โปแลนด์ได้เชิญกลุ่ม Teutonic Knights (ซึ่งเป็น กลุ่มอัศวินฝีมือดีที่ คอยอารักขาคนคริสต์ที่จะเดินทางไปแสวงบุญที่เยรูซาเล็ม) เข้ามาเพื่อปราบพวกโจรที่ออกปล้นชาวบ้านอยู่ทั่วไปจนทางการดูแลไม่ไหว

อยู่ไปอยู่มาอัศวินพวกนี้กลับได้ใจแผ่อิทธิพลจนยึดพื้นที่แถบนี้เอาไว้ และได้สร้างป้อมปราการ Malbork เป็นศูนย์กลางทำการของตัวเอง จนทำให้ต่อมากษัตริย์โปแลนด์ต้องเข้ามาปราบกลุ่มอัศวิน Teutonic อีกที และได้เปลี่ยนป้อม Malbork เป็นปราสาทของกษัตริย์ (ซึ่งในปัจจุบัน

หากนับรวมพื้นที่ดินด้วย ปราสาท Malbork ถือเป็นปราสาทอิฐที่ใหญ่ที่สุดในโลกและเป็นหนึ่งในมรดกโลกของ UNESCO) ในช่วงศตวรรษที่ 16-17 เมื่อโปแลนด์ผลิตและส่งออกธัญพืชได้มาก เมือง Gdańsk ซึ่งเป็นปลายทางของ แม่น้ำ วิสตูลาอันแม่น้ำสายหลักของโปแลนด์ที่ไหลมาถึงเมือง คราคูฟ เมืองหลวงของโปแลนด์ในขณะนั้น ทำให้ Gdańsk เป็นทำเลทอง และเป็นศูนย์กลางแห่งการค้า มีเรือสินค้าจากยุโรปมาเทียบท่าแทบหัวกระไดไม่แห้ง

แต่ความอุดมสมบูรณ์ของโปแลนด์ และความเนื้อหอมของ Gdańsk ก็นำภัยมาถึงตัว เพราะในช่วงศตวรรษที่ 17 อาณาจักรป รัสเซีย ออสเตรีย และรัสเซีย ก็เข้ามารุมทึ้งโปแลนด์ ออกเป็น 3 ส่วนและแบ่งกันปกครองหลายรอบ โดยเมือง Gdańsk ตกอยู่ภายใต้อาณาจักรปรัสเซีย ซึ่งต่อมาก็คือจักรวรรดิเยอรมัน

“ปัจจุบัน Gdańsk ซึ่งได้ถูกทำลายจนเกือบราบคาบในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองก็ได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ และได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของโปแลนด์ โดยเมืองมีประชากรประมาณ 4.7 แสนคน แต่ต้อนรับนักท่องเที่ยวกว่าปีละ 3 ล้านคน เป็นเมืองหลวงแห่งการขายอำพัน สินค้าขึ้นชื่อหนึ่งของโปแลนด์”.

ทำให้โปแลนด์ถูกลบจากพื้นที่โลกไปถึง 123 ปี และทำให้ Gdańsk มีสถาปัตยกรรมเยอรมันดาษตา และชุมชนเยอรมันอาศัยอยู่มากพอสงครามโลกครั้งที่ 1 จบลงในปี 1918 โปแลนด์ได้อิสรภาพกลับคืนมาอีกครั้ง เมือง Gdańsk ถูกตั้งให้เป็นรัฐอิสระภายใต้การดูแลของ League of Nations

แต่ด้วยความที่มีชุมชนเยอรมันอยู่มาก ทำให้ผู้ปกครองและประชาชนในเมือง มีใจเอนเอียงไปทางเยอรมันมากกว่าโปแลนด์ แต่โปแลนด์ก็ต้องการพื้นที่ของเมืองเพื่อไปออกสู่ทะเล ทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกับเยอรมันอยู่เป็นระยะ จนโปแลนด์ต้องมาตั้งคลังอาวุธที่บริเวณ Westerplatte ด้านเหนือของเมือง

ซึ่งจุดนี้เองคือจุดที่เมื่อฮิตเลอร์ และนาซีเยอรมันจะยึดโปแลนด์ ก็ส่งเครื่องบินมาโจมตีเป็นที่แรก นับเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่สอง วันเวลาผ่านไป สงครามได้เริ่มต้นและจบไป น้ำตาของคนก็ไหลรินและเหือดแห้งไป

ปัจจุบัน Gdańsk ซึ่งได้ถูกทำลายจนเกือบราบคาบ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ก็ได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ และได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของโปแลนด์ โดยเมืองมีประชากรประมาณ 4.7 แสนคน แต่ต้อนรับนักท่องเที่ยวกว่าปีละ 3 ล้านคน เป็นเมืองหลวงแห่งการขายอำพัน สินค้าขึ้นชื่อหนึ่งของโปแลนด์

โดยเฉพาะในฤดูร้อน Gdańsk จะเป็นเมืองเป้าหมายของคนโปแลนด์และยุโรป โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวเยอรมันและสแกนดิเนเวีย นอกจากเมืองอันสวยงาม มีสถานที่ประวัติศาสตร์ควบคู่ไปกับ ความทันสมัยได้อย่างลงตัว แล้ว Gdańsk ยังมีพิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่จัดแสดงได้อย่างน่าชม

มีเรื่องราวและประวัติอย่างละเอียด รวมถึงสิ่งของต่างๆ ที่หลงเหลือจากสงคราม เพื่อเตือนใจคนรุ่นหลังว่า เมืองที่รุ่งโรจน์ งดงาม และมีประวัติศาสตร์อันยาวนานเพียงใด ก็สามารถถูกทำลายลงได้ด้วย สงครามและกิเลสของมนุษย์ ในเวลาเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น
บทความของ (ท่องโลกไปกับ..หนึ่ง-นักการทูต)