1.1K
เส้นทางสายมรดกโลก มิลฟอร์ดซาวด์ ตอน 2 จากตรงนี้ไป เราเหลือเวลาไม่มากนัก. เนื่องจากผมได้จองเรือของ บริษัทเรดโบท (Red Boat) เพื่อทานอาหารกลางวันที่ Milford Sound ไว้ตอนบ่ายโมงครึ่ง. เราจึงต้องทำเวลา แต่อย่างไรก็ตามด้วยประสบการณ์ในเรื่องการคาดคะเนเวลา ผมจึงเผื่อเวลาที่จะให้ทุกคนประทับใจสูงสุด เรายังสามารถหยุดในที่สำคัญได้อีก
ซึ่งจุดต่อไปเราผ่านเส้นทางหุบเขาลับแล (Avenue of Disappearing Mountain) ซึ่งเป็นเส้นทางคดเคี้ยว ซึ่งมีป่าบีทปกคลุมสองข้างทาง ก่อนที่รถจะลงเนิน ภูเขาสูงที่เห็นอยู่ข้างหน้าจะหายไป
หลังจากนั้นรถจะลงเนินเข้าสู่หุบเขา โฮลลี่ฟอร์ด (Holly ford) ในวันนี้เราโชคดีที่รถมาหยุดจอด เพื่อรอสัญญาณไฟที่หน้าอุโมงค์โฮเมอร์ อุโมงค์นี้เป็นอุโมงค์ประวัติศาสตร์ ค้นพบเมื่อปี 1899 เป็นแอ่งระหว่างหุบเขาฮอลลีฟอร์ด และหุบเขาเคลดเดา (Cleddau)
อุโมงค์นี้ เริ่มสร้างในปี 1935 โดยชาย 5 คนได้ เจาะภูเขาหินด้วยพลั่ว และรถเข็นล้อเดียว จนสำเร็จในปี 1954 หลังจากภูเขาถล่ม คร่าชีวิตชาย 3 คนไป ทุกวันนี้เป็นอุโมงค์ที่แคบ เดินรถทางเดียว ซึ่งแต่ละด้านต้องใช้เวลารอ 15 นาที
จากนั้นผ่านน้ำตก ซึ่งเป็นหิมะที่ละลายมาจากภูเขา แต่เนื่องจากเป็นถนนที่เล็ก รถเราไม่สามารถจอดได้เพราะห่วงเรื่องอุบัติเหตุ ซึ่งหากเกิดอันตรายขึ้นจะเป็นปัญหาใหญ่มาก เพราะที่นี่ไกลจากเมือง และไม่มีสัญญาณโทรศัพท์
ฉะนั้นหากท่านขับรถมาเที่ยวเอง สิ่งแรกที่ต้องคำนึงคือเรื่องความปลอดภัย จากจุดนี้เราเข้าใกล้ Milford Sound เต็มที ยังมีเวลาเหลืออีกนิดหน่อย เราจึงหยุดที่หุบเขา Cleddau เพื่อเดินเข้าไปชมน้ำตกแชสแซม (The Chasm) ซึ่งเป็นน้ำตกจากหิมะที่ละลาย เป็นสายน้ำตกที่เล็ก แต่มีกระแสน้ำที่แรง ซึ่งตรงนี้ผมมีความประทับใจมากที่สุดในเชิงของการถ่ายรูป จากนั้นเราใช้เวลาเดินทางอีก 15 นาที ก็ถึง Milford Sound ทันเวลา เพื่อขึ้นเรือของบริษัทเรดโบท
หลังจากเราขึ้นเรือ เรียกได้ว่าเป็นความตื่นเต้นที่ทุกคนรอคอย ที่จะได้ยลโฉมความงามของ Milford Sound ซึ่งคำว่าซาวด์ (Sound) คือบริเวณที่ธารน้ำแข็ง กัดเซาะและถูกแทนที่โดยน้ำทะเล
ส่วนที่เป็นน้ำจะเรียกว่า “ซาวด์” ในขณะที่ส่วนที่เป็นหน้าผา และภูเขาซึ่งมีแหลมยื่นเข้ามาในน้ำเรียกว่า “ฟิออร์ด” หรือ “ฟยอร์ด” นั่นเอง หลังจากเรือออกจากท่า เราได้ผ่านทิวทัศน์ที่อลังการ อันเกิดจากธรรมชาติ สองฟากเป็นภูเขาหิมะ ตั้งสูงตระหง่านเป็นฉากอยู่เหนือท้องน้ำ เต็มไปด้วยน้ำตก
นอกจากนี้เรายังได้ชมชีวิตตามธรรมชาติ ของนกเพนกวินและนกน้ำอื่นๆ ตลอดจนแมวน้ำ ที่มานอนอาบแดดอยู่ตามโขดหิน บางซอกบางหลืบของหน้าผาที่สูงชัน ฟองฝอยของกระแสน้ำ ที่ตกลงมาสะท้อนกับแสงอาทิตย์ทำให้เกิดรุ้งที่สวยงาม
ในขณะที่เรือกำลังล่องชมความงาม ซึ่งมีอาหารแบบนานาชาติ มื้อนี้มีเนื้อแกะอบซอสเป็นเมนูหลัก หลังจากทานอาหารเสร็จ ก็พอดีที่เรือออกสู่ปากอ่าวทะเลทัสมาน (Tasman Sea) โดยระหว่างเส้นทางกลับเราได้ผ่านน้ำตกที่เลื่องชื่อ สเตอร์ลิ่งฟอล์ (Stirling Falls) ซึ่งเป็นน้ำตกที่ใหญ่และแรงจากยอดเขาที่สูง
เมื่อเรือเข้าไปใกล้น้ำตก ทุกคนบนดาดฟ้าต้องรีบลงข้างล่างเพราะสายน้ำกระเด็นสาดใส่จนเปียก คงเป็นการจงใจของกัปตันที่ขับเรือเข้าไปชิด เพื่อให้ทุกคนสัมผัสถึงความฉ่ำเย็นของละอองน้ำ และจุดสุดท้ายคือน้ำตกโบเว่น (Bowen Falls) ที่ซ่อนอยู่ในหุบเขา เป็นน้ำตกที่ใหญ่สุดแต่ไม่สูง จึงไม่ค่อยน่าประทับใจ
เรากลับเข้าสู่เมืองควีนส์ทาวน์ ประมาณ 2 ทุ่ม วันนี้เป็นวันที่ทุกคนเหนื่อย แต่ก็เต็มไปด้วยความสุข และหิว เราจึงมุ่งตรงไปทานอาหารไทย ที่ร้านมายไทย (My Thai) ซึ่งมีพี่เบนเป็นผู้ดูแลต้อนรับ อาหารค่ำคืนนี้เป็นอีกมื้อที่ เอร็ดอร่อย ผมไม่แน่ใจว่าเพราะความหิว หรือความอร่อยจากฝีมือพ่อครัว
แต่ที่แน่ๆ คือทุกคนเอร็ดอร่อย และยังสั่งผัดกระเพราไปกินที่โรงแรมอีกด้วย ซึ่งทุกวันนี้ ร้านอาหารไทย ใน ควีนส์ทาวน์ดีขึ้นกว่าในอดีตเยอะ เพราะมี 4-5 ร้านให้เลือก รสชาติก็ปรับปรุงดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน ทำให้นักท่องเที่ยวไทยได้มีทางเลือกมากขึ้น
จึงตัดสินใจร่วมชะตากรรมด้วย วันนี้คนขับเรือเราเป็นหนุ่มหล่อชื่อไมค์ (Mike) วันนี้ปริมาณน้ำมากกว่าปรกติ เพราะเป็นฤดูที่หิมะละลาย และก่อนหน้านี้มีฝนตกหนัก และคนขับเราเป็นหนุ่มไฟแรงด้วย จะเรียกว่าผมโชคดี หรือโชคร้ายก็ไม่ทราบที่ตัดสินใจในครั้งนี้
เพราะทุกนาทีมีแต่ความหวาดเสียว แต่ต้องยอมรับความเก่ง ของคนขับเรือทุกคนที่นี่จริงๆ แม้ว่าน้ำมาก เหลี่ยมหินจะคม (ซึ่งมีอยู่เยอะแยะไปหมด) แต่พ่อหนุ่มไมค์ก็หักหลบได้ทุกครั้ง สำหรับผมแล้วทุกครั้งที่ เรือเข้าใกล้โขดหินก่อน ที่จะหักหลบ เล่นเอาหัวใจแทบวาย (แม้ว่าจะมั่นใจว่าปลอดภัยก็ตาม) โดยปรกติเรือจะขับที่ความเร็วเฉลี่ย 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
หลังจากเล่นเจ็ทโบท เราก็มาขึ้นเครื่อง และจากลาเมืองควีนส์ทาวน์ ในช่วงบ่ายที่ท้องฟ้าปกคลุม ไปด้วยเมฆขาว หลังจากเครื่องบินไต่ระดับ ภาพความงาม ยอดเขาของเซ้าเทิร์นเอลพ์ (Southern Alps) ที่เต็มไปด้วยหิมะเบื้องล่าง เป็นภาพที่น่าประทับใจ ซึ่งผมมีข้อแนะนำว่าให้ท่านเลือกที่นั่งทางขวามือ
หากบินจากควีนส์ทาวน์ เข้าสู่โอ๊คแลนด์หรือกลับกัน ให้ท่านเลือกที่นั่งทางซ้ายมือ หากบินจากโอ๊คแลนด์สู่ควีนส์ทาวน์ เพราะท่านจะได้ชมทัศนียภาพ ความสวยงามเต็มที่ครับ เราจากลากันในวันถัดมา ในช่วงเที่ยงของวันที่ท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยเมฆขาว ดังสมญานามเออาวเทียรัว (Aotearoa) เมืองแห่งเมฆขาวสุดตา
ผมยังจำสายตาเอื้ออาทร และมิตรภาพที่มีให้กันแบบ ผู้ใหญ่เอ็นดูเด็ก ขอบคุณและขอให้ทุกท่านเดินทางกลับเมืองไทยโดยสวัสดิภาพนะครับ คณะที่น่ารักทุกคน และหวังว่าในคราวหน้า ผมคงได้มีโอกาสดูแลอีกนะครับ
แม้ว่า เส้นทางสายมรดกโลก มิลฟอร์ดซาวด์ ทริปนี้จะเป็นทริปสั้นๆ แต่ผมกลับมีความประทับใจมากมาย ในทุกห้วงเวลาที่เข็มวินาทีเดินไป ผมกลับได้รับอะไรหลายๆอย่าง เริ่มจากปัญหาที่ต้องแก้ในฐานะผู้รับผิดชอบ มิตรภาพ ไมตรีจิต ตลอดจนความปรารถนาดีจากลูกทัวร์ การดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน จนก่อเกิดเป็นความอบอุ่นฉันท์ญาติมิตร
การแลกเปลี่ยนทัศนคติในหลายๆ เรื่องราว และเหนือสิ่งอื่นใด สูงสุดของจิตวิญญาณของอาชีพไกด์ แม้ว่าผมไม่เคยเรียนวิชานี้มาจากสถาบันใด แต่โดยประสบการณ์ชีวิตที่ผมทำด้วยใจรัก ความรู้สึกและมิตรภาพที่ได้รับจากลูกทัวร์ ความสุขและรอยยิ้มทุกคนที่ผมได้เห็น คือสิ่งที่มีค่ามากกว่าเงินทอง อารมณ์เหล่านี้ฟังดูเหมือนเป็นการโอ้อวด อาจจะยากในการเข้าถึง
แต่สำหรับผมแล้ว นี่คือสิ่งที่ผมมักได้เจอบ่อยๆ เหมือนกับเวลาเราจัดคอนเสิร์ต ความสุขและใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มของผู้ชมคือสิ่งที่เราทีมงานผู้จัดต้องการ แม้ว่าเราจะเหน็ดเหนื่อยหรือแม้ขาดทุนก็ตามที นี่คือสิ่งที่ผมยึดถือเสมอมาจากคำพูดของพี่นารินทร์ดัฟฟ์




” แม้ว่าผมไม่เคยเรียนวิชานี้มาจากสถาบันใด แต่โดยประสบการณ์ชีวิตที่ผมทำด้วยใจรัก ความรู้สึกและมิตรภาพที่ได้รับจากลูกทัวร์ ความสุขและรอยยิ้มทุกคนที่ผมได้เห็น คือสิ่งที่มีค่ามากกว่าเงินทอง อารมณ์เหล่านี้ฟังดูเหมือนเป็นการโอ้อวด อาจจะยากในการเข้าถึง แต่สำหรับผมแล้ว นี่คือสิ่งที่ผมมักได้เจอบ่อยๆ”

วันที่สาม ไปเล่นเรือที่ Shotover Jet
เราเดินทางไปเล่นเรือที่ Shotover Jet ซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็นที่ดั้งเดิม ของเรือเจ็ทโบท ที่นี่มีเรือ 7 ลำ ให้บริการทุกครึ่งชั่วโมง ในแต่ละเที่ยวใช้เวลา 45 นาที ช็อทโอเว่อร์เจ็ท เป็นจุดที่ดีที่สุดของประเทศนิวซีแลนด์ เพราะเรือวิ่งในแม่น้ำช็อทโอเว่อร์ ที่ตรงนี้เต็มไปด้วยโตรกผาที่แหลมคม สายธารที่คดคี้ยว กระแสน้ำที่รุนแรง สร้างความตื่นเต้นให้กับนักท่องเที่ยวจนแทบหัวใจวาย แม้ว่าผมจะเป็นไกด์มา 7-8 ปีแล้วก็ตาม พาลูกทัวร์ไปเล่นเจ็ทโบทมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง

