1.2K
ทริปนี้เป็นทริป เส้นทางสายมรดกโลก ที่ผมมีความประทับใจที่สุด ถือว่าเป็นทริปในฝันเลยก็ว่าได้ ด้วยเหตุผลและปัจจัยหลายๆ อย่าง อย่างแรกคือ ก่อนหน้านี้ผมพยายามจะไปเยี่ยมชมสิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลก นั่นก็คือ Milford Sound มาแล้ว 2 ครั้ง แต่ทุกครั้งกลับมีอุปสรรค ในเรื่องของสภาพอากาศ หิมะจัดและถนนปิด
ซึ่งคราวนี้ นับว่าเป็นครั้งแรกที่ผมประสบความสำเร็จ อย่างที่สอง คือ ลูกทัวร์ที่ผมได้ดูแลคราวนี้แม้ว่าจะประกอบไปด้วยทุกวัย แต่ก็นิสัยดีและน่ารักทุกคน สุดท้ายคือ ทริปนี้ ผมได้โชเฟอร์คือคุณอีแวน (Evan) เป็นชาวอินเวอร์คาร์กิว (Invercargill) ซึ่งเป็นเมืองใต้สุดของนิวซีแลนด์ เป็นฝรั่งวัยกลางคน อัธยาศัยดีและขับรถสุภาพ
นอกจากนี้ยินดีที่จะให้ข้อมูลท้องถิ่นเพิ่มเติมอีกด้วย ทำให้ผมทำงานง่ายขึ้น ซึ่งคุณอีแวนเรียกได้ว่า เป็นเจ้าถิ่นในแถบนี้ ดังนั้นในคราวนี้ผมได้ผู้ช่วยที่ชำนาญพื้นที่โดยแท้จริง จึงทำให้ทริปนี้ดำเนินไปได้ด้วยความสบายใจ
โปรแกรมแรกและโปรแกรมเดียวในวันนี้คือ การล่องเรือกลไฟ (Earnslaw) ในทะเลสาบวาคาติปู ซึ่งเป็นเรือกลไฟของบริษัทเรียลเจอร์นี่ย์ (Real Journeys) ที่ใช้ขนส่งสินค้าในอดีตตั้งแต่ ค.ศ. 1912 เพียงลำเดียวที่ยังใช้งานได้จริงในทุกวันนี้
ในอดีตใช้ขนส่งสินค้าและบริการชุมชนฟาร์มที่ห่างไกลระหว่างเมืองควีนส์ทาวน์ไปยังเมืองคิงส์ตัน (Kingston) แต่ปัจจุบันได้ดัดแปลงเป็นเรือท่องเที่ยวที่ล่องเพื่อชมความงามของทะเลสาบวาคาติปู และได้เจาะพื้นเรือเพื่อให้นักท่องเที่ยวเห็นการทำงานของห้องเครื่องซึ่งใช้ถ่านหินต้มน้ำในการขับเคลื่อนเรือ เหมือนกับว่าเราได้ย้อนอดีตในขณะที่ชมความงามเหนือผืนน้ำ
นอกจากนี้ยังมีบริการนำนักท่องเที่ยวขึ้นแวะทานอาหารกลางวัน ในฟาร์มของ Walter Peak Farm ซึ่งมีอาหารหลายรูปแบบรวมทั้งบาร์บีคิวและได้ชมสัตว์และวิถีชีวิตของชาวนิวซีแลนด์อีกด้วย
ในวันนี้แม้ว่าเมืองควีนส์ทาวน์จะปกคลุมไปด้วยสายฝน เหนือท้องน้ำ แม้จะมีหมอกจางๆ แต่อากิ๋มก็ชมไม่ขาดปากเรื่องความสวยงามของบรรยากาศเมืองควีนส์ทาวน์ และทุกคนในคณะก็ชื่นชอบกับทัศนียภาพ ของเกาะแก่งต่างๆ รอบทะเลสาบ
สำหรับเมืองที่มีมนต์ขลังแห่งนี้ ในแต่ละปีแม้ผมจะมามากกว่า 10 ครั้ง แต่บรรยากาศที่ฝนตกและหมอกลงเหมือนวันนี้มักจะไม่ค่อยเกิดขึ้น แต่สำหรับผมแล้วถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งบรรยากาศที่มีเสน่ห์ เหมือนที่ผมเคยบอก เสน่ห์ของประเทศนิวซีแลนด์ในแต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละปี จะมีความแตกต่างกัน
ฉะนั้นบรรยากาศ และความประทับใจที่นักท่องเที่ยวได้รับ ย่อมแตกต่างไปด้วยตามเวลาและฤดูกาล และนี่คือมนต์ขลังของประเทศเล็กๆ ในท้องทะเลใต้แห่งนี้ และเป็นประเทศที่ได้รับรางวัลว่าน่าอยู่ที่สุดในโลก
หลังจากดื่มด่ำกับบรรยากาศของทะเลสาบกับเรือ Earnslaw กันแล้ว คณะของเราก็เข้าเช็คอินที่โรงแรม Novotel (ซึ่งอยู่เยื้องกับทะเลสาบ) ในเวลาค่ำ หลังจากนั้นเรามาทานมื้อค่ำกันที่ร้าน Botswana Butchery ซึ่งอยู่ใกล้โรงแรม ร้านนี้เป็นร้านที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในเรื่องของสเต็ก สัญลักษณ์ของร้านคือ มีดอีโต้ ดูแล้วแปลกดี ที่เปิด-ปิดประตูทางเข้า เขาใช้มีดอีโต้มาเป็นด้ามจับ
ซึ่งอาหารหลักของคณะเราในค่ำนี้ ก็คือสเต็ก ซึ่งเราเลือกทั้ง Rib Eye และ Eye Fillet แต่สำหรับคนไทยแล้ว สเต็กส่วนที่ดีที่สุดคือ Scott Fillet เพราะมีไขมันแทรกอยู่ในเนื้อ เหมือนลายหินอ่อน นอกจากนุ่มแล้ว ยังมีความหวานของเนื้อด้วยเพราะคอคนไทยเรานิยมเนื้อติดมัน (ในขณะที่ฝรั่งไม่นิยมกินแบบมีไขมันเท่าไหร่) ซึ่งราคาอาหารโดยเฉลี่ยจะตกจานละ 35-45 เหรียญ
หลังจากทุกคนอิ่มหนำสำราญกันแล้ว ต่างคนต่างก็เข้าห้องพัก เพื่อจะเก็บแรงไว้พรุ่งนี้กับโปรแกรมเด็ดคือ Milford Sound ซึ่งต้องตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ เพราะต้องเดินทางไกล
เราออกเดินทางกันประมาณ 8 โมงเช้าเพื่อไปชมความงามของ Milford เราใช้เวลาเดินทาง ประมาณ 3 ชั่วโมงผ่านทิวทัศน์ของภูเขาสูง (ที่ยังมีหิมะปกคลุมบนยอด) และทุ่งหญ้าที่เขียวขจีของที่ราบโอทาโก้ (Otago) ผ่านฟาร์มเลี้ยงกวาง ฟาร์มโคนม ตลอดจนฟาร์มที่เต็มไปด้วยฝูงแกะ
ซึ่งวันนี้รู้สึกอากิ๋มมีความสุขเป็นพิเศษ เพราะเอ่ยปากชมถึงความงามตลอดทาง นอกจากนี้เรายังผ่านภูเขาสูงซึ่งมีกังหันผลิตไฟฟ้าที่ใช้แรงงานลมให้เห็นเป็นระยะ ซึ่งที่ราบโอทาโก้นี้ มีกระแสลมแรง องค์การไฟฟ้าที่นี่ จึงใช้พลังงานจากธรรมชาติในการผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งกังหันหนึ่งตัว สามารถจ่ายกระแสไฟให้บ้านได้ถึง 2,000 หลัง ซึ่งกังหันไฟฟ้านี้หาดูได้อีกที่ ที่เกาะเหนือคือ เมืองพามาร์ตั้นนอร์ท (Palmerston North) ซึ่งมีกังหันมากกว่า 100 ตัว
นอกจากนี้ระหว่างทางก็ยังมีโรงงานไฟฟ้า ซึ่งใช้พลังน้ำจากทะเลสาบมานาพูลี (Manapouri) ในการผลิตไฟฟ้า ซึ่งโรงงานไฟฟ้านี้อยู่ใต้ท้องทะเลสาบ แต่เนื่องจากคณะเรามีเวลาไม่พอจึงไม่ได้แวะเข้าไปเยี่ยมชม จุดแรกที่เราพักก็คือ เมืองเต-อะนาว (TeAnau) ซึ่งเป็นเมืองสุดท้ายก่อนที่จะเข้าสู่เส้นทางสายมรดกโลก ฟิออร์ดแลนด์ (Fiordland) เราพักเข้าห้องน้ำและชมความงามของ ทะเลสาบเต-อะนาว ประมาณครึ่งชั่วโมง เมืองเต-อะนาวนี้เป็นเมืองเล็กๆ ตั้งอยู่ริมทะเลสาบ เติบโตอย่างช้าๆ
เนื่องจากคนที่อาศัยที่นี่ส่วนใหญ่เป็นฝรั่งสูงอายุ ธุรกิจหลักของเมืองนี้อยู่ที่การท่องเที่ยว และการเกษตร สำหรับผมถือว่าเป็นเมืองที่เงียบเหงา เพราะคนวัยหนุ่มสาวและวัยทำงานที่เป็นลูกหลานของคนเมืองนี้ มักจะทิ้งถิ่นฐานมาหากินในเมืองใหญ่ เช่น ควีนส์ทาวน์หรือไคร้สท์เชิร์ท และเมืองนี้เป็นสถานที่รองรับนักท่องเที่ยวที่สุดท้าย ก่อนที่จะเข้าไปชม Milford Sound มีโรงแรมและโมเทลไว้บริการเพียงไม่กี่แห่ง แต่เป็นเมืองที่มีเสน่ห์สำหรับคนที่ชอบสันโดษ
หลังจากทุกคนเสร็จกิจธุระ คณะของเราก็เดินทางต่อ หลังจากเราออกจากตัวเมืองเต-อะนาวแล้ว รถก็ขับเลาะทะเลสาบมาเข้าสู่ ช่องแคบฟิออร์ดแลนด์ ซึ่งลูกทัวร์รวมทั้งตัวผมเองเริ่มตื่นตา ตื่นใจกับบรรยากาศสองข้างทางซึ่งเป็นทุ่งหญ้าเขียวตัดกับทิวไม้ของ ป่าบีท Beech Tree ซึ่งเป็นไม้ยืนต้นมีใบเล็กๆ โดยมีฉากหลังเป็นภูเขาสูงตระหง่านที่ ปกคลุมด้วยหิมะ จุดแรกที่คุณอีแวน จอดให้พวกเราถ่ายรูปกันคือ เอ็กลิงตั้นวัลเล่ย์ (Eglington Valley) เป็นทุ่งหญ้ากว้างที่ ปกคลุมไปด้วยหญ้าเรดทัสซ็อก (Red Tussock) ซึ่งเป็นหญ้าสีน้ำตาลแดงสูงประมาณ 1 ฟุต ใบแข็ง มีกอเป็นพุ่ม การซึ่งหญ้าชนิดนี้จะเกิดในที่ราบที่มีอากาศหนาว


วันแรก การล่องเรือกลไฟ
ทริปนี้ผมเริ่มรับลูกทัวร์ที่ Sky City Hotel ซึ่งเป็นโรงแรมเกรดเอ อยู่ใจกลางเมืองโอ๊คแลนด์ ในตอนสายของวัน เพื่อเดินทางไปสนามบินภายในประเทศ ในคราวนี้ ใช้บริการสายการบินแห่งชาติ นั่นก็คือ Air New Zealand เราใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง 50 นาที ก็ถึงท่าอากาศยานเมือง Queentown ในสภาพอากาศที่ท้องฟ้าฉ่ำไปด้วยเมฆฝน มีฝนตกปรอยๆ ทั้งเมือง ในการจัดทัวร์ของผมจะมี 2 แบบ สำหรับคณะของคุณอากิ๋มนี้จัดอยู่ในเที่ยวแบบที่ 2 แต่เป็นแบบที่คุณภาพมากๆ คือ ลูกทัวร์จัดโปรแกรมเอง เที่ยวแบบตามใจ โปรแกรมปรับเปลี่ยนได้ตามสภาพการณ์ ซึ่งการเที่ยวประเภทนี้มักมีค่าใช้จ่ายสูง เพราะโปรแกรมทุกอย่างไม่ได้จองล่วงหน้า เป็นเพียงโปรแกรมที่จัดไว้โดยคร่าวๆ ปรับเปลี่ยนตามสภาพอากาศและปัญหาที่เกิดเฉพาะหน้า แต่จะได้รับความประทับใจมากที่สุด เพราะไม่ต้องกังวลเรื่องเวลาและสภาพอากาศ ไม่ต้องแข่งกับเวลาเพื่อที่จะเข้าชมหรือเข้าเล่นกิจกรรมที่ทางสถานที่ท่องเที่ยวได้กำหนดเวลาของการแสดง
“เสน่ห์ของประเทศนิวซีแลนด์ในแต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละปี จะมีความแตกต่างกัน ฉะนั้นบรรยากาศและความประทับใจที่นักท่องเที่ยวได้รับ ย่อมแตกต่างไปด้วยตามเวลาและฤดูกาล และนี่คือมนต์ขลังของประเทศเล็กๆ ในท้องทะเลใต้แห่งนี้ และเป็นประเทศที่ได้รับรางวัลว่าน่าอยู่ที่สุดในโลก”



วันที่สอง ชมความงามของ Milford ทิวทัศน์ของภูเขาสูงที่ยังมีหิมะปกคลุม




คณะทัวร์ เส้นทางสายมรดกโลก ของเรามีความสุขกับการถ่ายภาพกันถ้วนหน้า เพราะท้องฟ้าที่เพิ่งเปิดหลังจากมีเมฆหนาในช่วงเช้า จากนั้นเราเดินทางต่อเข้าสู่จุด ทะเลสาปกระจก (Mirror Lake) ซึ่งตอนแรกผมจินตนาการว่า คงเป็นทะเลสาบที่ใหญ่
แต่งานนี้รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เพราะเป็นห้วงน้ำเล็กๆ ที่สะท้อนเงาของภูเขาสูง แต่ก็ถือว่าไม่ผิดหวังเพราะธรรมชาติรอบข้าง อำนวยต่อการถ่ายภาพ ว่ากันตามความจริงธรรมชาติในเขตนี้ ยังเป็นป่าดงดิบสมัยดึกดำบรรพ์ หนังหลายๆ เรื่องเกี่ยวกับโลกล้านปีได้มาถ่ายทำที่ เขตฟิออร์ดแลนด์แห่งนี้ เรื่องราวทริปนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป ติดตามกันได้ในฉบับหน้านะครับ